หน้าเว็บ

ยินดีต้อนรับสู่สัจธรรมที่แท้จริง



ด้วยพระนามของของฮัลลอฮผู้ส่งเมตตา ผู้ส่งกรุณาปราณีเสมอฮัลฮัมดุลิลาฮมวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิของฮัลลอฮซุบฮานาฮูวาตาอาลา พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งทุกอย่างแห่งสากลโลก ขอฮัลลอฮส่งประทานความจำเริญ มวลแห่งความดีทั้งหลายให้กับผู้ที่แสวงหาความรู้ความโปรดปรานจากพระองค์

ด้วยพระนามของฮัลลอฮผู้ทรงเมตตา กรุณาปราณีเสมอ

อิสลามกับความจริงที่ต้องรู้

05 พฤศจิกายน 2552

เกือบจะถึงลมหายใจสุดท้าย


อัลฮัมดูลิลลาฮฺกับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้กับบ่าวของพระองค์ผู้นี้อย่างเหลือคณานับ ทุกอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เว้นแต่เป็นสิ่งอนุมัติจากพระองค์ นับเป็นหนึ่งความเมตตาอย่างเหลือล้นกับสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้บ่าวผู้นี้ในเดือนร่อมาฎอนอันทรงเกียรติปี ฮ.ศ.1430นี้ ช่วงร่อมาฎอนที่เพิ่งผ่านมานี้เป็นร่อมาฎอนที่แปลกพิเศษที่สุดในชีวิตตัวเองที่ผ่านมา ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วยที่หนักที่สุดเท่าที่เคยได้สัมผัส(อัลฮัมดูลิลลาฮฺ) และช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง ทำให้มีอะมานะฮฺอันนึงที่ตัวเองได้บอกกล่าวกับอัลลอฮฺในช่วงหนึ่งขณะเจ็บป่วยนั้น ว่าจะบอกเล่าต่อแก่พี่น้องหากมันจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องให้มากที่สุด (เท่าที่พระองค์ให้ความสามารถ)
ณ ช่วงเวลาที่ได้รักษาตัวที่โรง พยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยอาการไข้สูง เจ็บคอ ไอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตัว เจ็บหู และปวดหัวจี๊ดๆ(เป็นบางช่วง) หนาวสั่น และอ่อนแรง อาการดังกล่าวอาจไม่รู้สึกทรมานอะไร หากมันไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่เมื่อรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาก็มักจะคอยบอกกล่าวกับตัวเองอยู่เสมอว่า ”อดทน อดทน อัลลอฮฺกำลังลบล้างความผิดให้กับเราอยู่ ” “อัลลอฮฺรักเราอัลลอฮฺจึงทดสอบเรา” ก่อนหน้านี้เคยแอบอิจฉาพี่น้องที่ได้รับความเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ เพราะรู้สึกว่าทำให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น ทำให้เขาได้รู้จักอดทน (“และอัลลอฮฺก็จะทรงอยู่กับบ่าวที่อดทน” ) สิ่งต่างๆเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ทำให้ตัวเองมีกำลังใจดีขึ้น และเนื่องด้วยเพราะได้รับกำลังใจจากคนรอบๆตัวและวงกว้างออกไป หลังจากนั้นอาการต่างๆก็เริ่มดีขึ้นมาจากวันที่ทรุดหนัก หลังจากที่หมอทำการวินิจฉัยโรคและทำการรักษาด้วยวิธีให้ฉีดยาฆ่าเชื้อ(ไปเกือบสิบขวด) และกินยา ซึ่งการกินยาเป็นอีกสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยอย่างมาก จำต้องกินยาหลายๆเม็ด บางเม็ดก็ใหญ่บะเริ่ม(แต่คนอื่นว่าเล็ก) โดยปกติแล้วเป็นคนไม่ชอบกินยามาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย เลยทำให้ต้องรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งนี้ จากนั้นก็ทำการรักษาเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ไข้ลดลงเป็นปกติ หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ พร้อมกับมียาติดไม้ติดมือกลับไปกินต่อ ...
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ก็มาพักฟื้นต่อที่หอพัก สามสี่วันจากนั้นมีเหตุทำให้ต้องกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยอาการมึนเวียน หน้ามืด และอาเจียรทุกวัน ตอนนั้นกำลังสงสัยตัวเองว่ามีอาการแพ้ยา เลยกลับไปยังโรงพยาบาลเดิมในช่วงกลางคืน จากนั้นก็เข้าพบหมอในห้องฉุกเฉิน หลังจากหมอซักประวัติเสร็จ หมอก็วินิจฉัยว่า อาจเป็นอาการแพ้ยา แล้วหมอก็ถามต่อว่า แล้วจะให้หมอฉีดยามั้ย? หรือจะเอายาไปกิน? เลยรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “ฉีดค่ะ” (เนื่องจากไม่ชอบกิน) หมอจึงสั่งพยาบาลให้ฉีดยาเข็มนึงซึ่งผสมด้วยตัวยาสองตัว พยาบาลบอกให้นอนบนเตียงในห้องฉุกเฉิน ที่ปิดรอบเตียงด้วยผ้าม่าน ซึ่งบรรยากาศในห้องนี้เต็มไปด้วยความ วุ่นวาย และเสียงดังโหวกเหวกมาก มีทั้งคนเพิ่งถูกรถชน คนเมาเหล้าประสบอุบัติเหตุ คนใส่เครื่องช่วยหายใจ เสียงพยาบาล และเสียงญาติผู้ป่วยที่มาโวยวาย หลังจากที่พยาบาลสั่งให้เหยียดแขนและกำมือ จากนั้นพยาบาลก็ฉีดยาเข็มนั้นเข้าไปในเส้นเลือดแขนข้างขวาเข้า แล้วก็เดินจากไป ในช่วงแวบนั้นที่ยาฉีดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกซ่าวืดไปทั้งตัว รู้สึกจะอาเจียรขึ้นมา และหายใจไม่ออก เลยพยายามจะยกตัวขึ้น และพยายามจะเปล่งเสียงเรียกพยาบาลที่กำลังยืนหันหลังพูดคุย กันอยู่ตรงหน้า ซึ่งห่างออกไปสักระยะ เรียกอยู่สามสี่ครั้งได้ พยาบาลจึงหันมา และเอากระโถนมาให้ แต่แม่ที่อยู่โต๊ะหมอ ซึ่งห่างไกลออกไปตั้งเยอะ ได้ยินเสียงเรียกลูก และวิ่งมาถึงที่เตียงพร้อมๆกับพยาบาล ตอนนั้นแม่บอกว่าหน้าลูกหน้าซีดเหมือนไม่มีเลือด ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทั้งมือและขา มือและตัวเย็บเฉียบ ไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงที่จะกำมือ รู้สึกหนาวสั่น และรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก เอ่ยถามแม่ที่ยืนอยู่ข้างหัวทีละ คำว่า “ทำไมถึงไม่แรงเลย หายใจไม่ค่อยออกด้วย” แม่เริ่มเสียงสั่น และวิ่งออกไปตามหมอมาดู บอกให้ดูลูกหน่อยว่าเป็นอะไร หมอและพยาบาลยืนมองนิ่ง ทำหน้าเหมือนให้คำตอบอยู่ตรงนั้นทั้งคู่ว่าไม่รู้เหมือนกัน จนแม่ดูท่าเหมือนหมอเองก็จะช่วยอะไรไม่ได้ เลยยืนจับมือแน่น และบอกด้วยเสียงอันสั่นๆให้นึกถึงอัลลอฮฺ บอกว่าอัลลอฮฺอยู่กับเรา และบอกให้กล่าวชาฮาดะฮฺอยู่ไม่หยุด
ในช่วงเวลานั้นก็ทำตามที่แม่บอก กล่าวชะฮาดะฮฺออกมาทีละคำๆด้วยกับน้ำตาและแรงหายใจที่รู้สึกว่ามีอยู่เล็กน้อย พยาบาลและหมอก็ยืนมองอยู่ตรงมุมเดิม ในช่วงเวลาที่นอนกล่าวชาฮาดะฮฺอยู่นั้น หัวใจสั่นระรัวนึกถึงแต่เพียงอัลลอฮฺและความตาย ในช่วงแรกหัวใจสั่นวุ่นวาย รู้สึกตกใจกลัว นี่จะถึงเวลาตายของเราแล้วใช่มั้ย ในช่วงแวบเดียวกันนึกถึงความดี-ความชั่วในอดีต ถึงนึกสวรรค์-นรก นึกว่าถ้าเราตายตอนนี้อะไรคือสิ่งที่อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนให้กับเราในอาคิเราะฮฺ และนึกถึงชีวิตแห่งหลุมฝังศพ รู้สึกกลัวอยู่ได้พักหนึ่ง สักครู่เดียวก็มีความคิดหนึ่งซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกเดิมเกิดขึ้นมา ซึ่งเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า แต่เราต้องพร้อมที่จะตายอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรอ ไหนเราเคยบอกกับคนอื่นๆว่าเราต้องพร้อมที่จะตายอยู่เสมอในทุกๆวินาทีทุกๆเวลา แล้วทำไมเราถึงต้องกลัวที่จะตายอีก เราต้องไม่กลัวสิ เราต้องพร้อมที่จะตาย เราต้องยอมรับในสภาวการณ์ของพระองค์สิ ทำไมเราต้องกลัวด้วย หากมันเป็นความประสงค์ของอัลลอฮฺก็ไม่มีอะไรขวางกั้นได้ทั้งนั้น นี่เราอายุยี่สิบเอ็ดเองเนอะเราก็ต้องตายแล้วหรอนี่ แต่หากพระองค์ทรงประสงค์ให้เราตายตอนไหนเราก็ต้องตาย ความคิดโจมตีตัวเองเข้ามาในหัวอยู่ไม่หยุด แต่ก็บอกกับพระองค์อีกว่าหากพระองค์ทรงให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เราจะพยายามเป็นบ่าวที่ดีที่สุดให้ได้ หลังจากนั้นก็ขอดุอาอฺ ขออภัยโทษต่อพระองค์อยู่ในใจ ช่วงเวลาเดียวกันก็พยายามจะหายใจให้อยู่รอดให้ได้ต่อไป พร้อมกับปากที่กล่าวชะฮาดะฮฺ และพยายามจะขยับมือขยับขาให้ได้ไปพร้อมๆกัน เพื่อประทังชีวิตตัวเองไว้ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองยังมีเรี่ยวแรงอยู่ แต่ในใจก็นึกถึงแต่พระองค์ ขออภัยโทษและขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ เพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกสิ่ง นอนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เมื่อหัวใจสามารถทำใจที่จะตายได้แล้วทำให้หัวใจเริ่มสงบ แต่ก็ยังมีแฝงด้วยความกลัวอยู่บ้าง ที่ยังไงก็ไม่สามารถขจัดไปให้หมดได้ในช่วงเวลานั้น ตามองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังตรงปลายขาเตียง วินาทีไหนน่ะที่พระองค์จะทรงเอาวิญญาณเรากลับไปยังพระองค์ นอนทำใจและปากกล่าวชะฮาดะฮฺอยู่ตลอด ไม่มีใครสามารถรู้ได้ถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นที่อยู่ในหัวใจเราได้เลยจริงๆเว้นแต่อัลลอฮฺ แม้กระทั่งแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆตัวเราในขณะนั้นก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าหัวใจเรารู้สึกยังไง ถึงแม้ว่าขณะที่เล่าออกไปให้ใครฟังก็ตาม ก็เชื่อได้ว่าไม่มีใครอาจสัมผัสความรู้สึกในวินาทีนั้นได้อย่างถึงใจจริงๆ มันน่ากลัวมากกับห้วงเวลาที่คิดว่ามันเกือบจะถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเราแล้ว มันต่างกันอย่างลิบลับกับช่วงเวลาที่เรานึกถึงความตายในช่วงปกติจนทำให้เรารู้สึกกลัว ร้องไห้ เพราะขณะนั้นในใจลึกๆแล้วเราไม่ได้รู้สึกจริงๆว่าตัวเราจะต้องตายในวินาทีนั้นเหมือนกับที่ประสบอยู่นี้
เมื่อหัวใจสงบลง ความวุ่นวายหายไป และสักพักหนึ่ง แม่ก็พูดอย่างมีความหวังขึ้นมาว่า หน้าลูกเริ่มมีสีขึ้นมาบ้างแล้ว และตอนนั้นรู้สึกได้ว่าลมหายใจเริ่มเข้ามาในปอดตัวเองมากขึ้น แต่มือและขาก็ยังคงอ่อนเรี่ยวแรงอยู่ พยายามนอนนิ่งทำใจให้สงบลงและยอมรับในทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ด้วยสายตาที่ยังคงมองไปยังเข็มนาฬิกาที่เดินหมุนไปในทุกวินาที พลางรอวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ แต่เมื่อนอนอยู่อย่างสงบพักหนึ่งก็รู้สึกเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมา สามารถขยับมือเองได้บ้างแล้ว แม่ยิ้มดีใจและมีความหวังขึ้นมา ถามว่าพอจะไหวแล้วใช่มั้ย ก็พยักหน้าตอบรับไปเพื่อความสบายใจของแม่ ทั้งที่ตอนนั้นยังรู้สึกว่าขายังคงอ่อนแรงยังไม่สามารถขยับได้อีก สักพักใหญ่ๆรู้สึกหายใจได้มากขึ้น และสามารถขยับมือ ขยับขาได้บ้างแล้ว พอดีกับหมอเดินมาถามว่า จะนอนโรงพยาบาลอีกสักคืนมั้ย เพื่อหมอจะได้สังเกตอาการ แต่ในใจตอนนั้นก็คิดว่า ขอกลับดีกว่า เพราะหากถึงเวลาที่เราต้องตายจริงๆ ถึงยังไงมนุษย์คนใดก็มิอาจขวางกั้นพระประสงค์ของอัลลอฮฺได้อย่างแน่นอน ถ้าจะต้องตายก็ไม่อยากตายในสภาพบรรยากาศห้องฉุกเฉินอันวุ่นวายนี่หรอก จึงบอกแม่ว่าขอกลับดีกว่า . . .
จากนั้นมาพระองค์ก็ทรงให้เราได้มีลมหายใจจวบจนวันนี้วินาทีนี้ นับได้ว่าเป็นกำไรของชีวิตอย่างมากที่พระองค์ทรงเมตตาให้ได้ลิ้มรสช่วงเวลาดังกล่าว ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ใจเสียอยู่สักพักใหญ่ๆก็ตาม แต่มันคุ้มค่ามากต่อการได้เตือนสติตัวเองและพี่น้องให้ต้องระลึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ให้ต้องพร้อมที่จะตายอยู่ทุกขณะและทุกสภาพ หากเมื่อใดถึงเวลาที่เราจะต้องกลับคืนสู่อัลลอฮฺผู้สร้างเรา เมื่อนั้นเราก็ต้องพร้อมที่จะกลับไปสู่พระองค์ โดยที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าหากเราตายในวินาทีใดนั้น หนทางในอาคิเราะฮฺของเราจะเป็นเช่นใด เราไม่อาจรู้ถึงน้ำหนักของสมุดบัญชีข้างซ้ายและข้างขวาได้ในตอนนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่าการงานใดบ้างที่พระองค์ทรงตอบรับและไม่ตอบรับ แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะที่เรายังมีชีวิตและมีลมหายใจอยู่ตอนนี้ก็คือ ทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ผู้สร้างเรา “แท้จริงแล้วชีวิตเราเป็นของพระองค์ และแน่แท้เราจะต้องกลับไปยังพระองค์”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

(ขอบคุณ)