หน้าเว็บ

ยินดีต้อนรับสู่สัจธรรมที่แท้จริง



ด้วยพระนามของของฮัลลอฮผู้ส่งเมตตา ผู้ส่งกรุณาปราณีเสมอฮัลฮัมดุลิลาฮมวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิของฮัลลอฮซุบฮานาฮูวาตาอาลา พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งทุกอย่างแห่งสากลโลก ขอฮัลลอฮส่งประทานความจำเริญ มวลแห่งความดีทั้งหลายให้กับผู้ที่แสวงหาความรู้ความโปรดปรานจากพระองค์

ด้วยพระนามของฮัลลอฮผู้ทรงเมตตา กรุณาปราณีเสมอ

อิสลามกับความจริงที่ต้องรู้

02 ธันวาคม 2552

เกียติของความเป็นมุสลีมะห์


السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته

พี่น้องผู้ศรัทธาและรักเกียรติของความเป็นมุสลีมะห์ทั้งหลายครับ

หาก เราจะกล่าวถึงหลักฐานเจาะจงถึงการเล่นไฮต์ไฟล์หรือการโพสรูปไปยังเว็บบอร์ ดต่างๆของสตรีมุสลีมะห์หรือมุสลีมีนทั้งหลายนั้น ก็คงมิอาจที่จะทราบถึงหลักฐานข้างต้นเป็นแน่ครับ ก็ในเมื่อสมัยของท่านรอซูล(ซ.ล) สิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำไป
แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น อัลลอฮ(ซ.บ)ก็ทรงรู้และทรงทราบว่า อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และคำกล่าวใด อายะฮใดที่จะทำให้ผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์นั้นได้ยึดถือ ได้นำมาปฏิบัติเพื่อมิให้คำกล่าวที่ว่า ฉันเป็นมุสลิม ฉันเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮและรอซูล นั้นเสื่อมลงและเสียไปซึ่งการศรัทะดังกล่าวครับ ดังนั้น

หากเราจะพูด ถึงการการอวดโฉม คือ การเปิดเผยส่วนที่สวยงามและเสน่ห์ของใบหน้า หรือการมองของบุรุษชายและหญิงเอย นั้นก็คงจะหนีไม่พ้นถึงหลักฐานโดยอ้อมถึงการอวดโฉมดังกล่าวเช่น

1.อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์อันนูร อายะฮที่ 30 ซึ่งมีใจความว่า

“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)แก่บรรดามุอฺมินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ"

2.อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อันนูร อายะฮที่ 31 ซึ่งมีใจความว่า

" และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮ์ ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่แก่สามี ของพวกเธอ หรือบิดาของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายของสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอเพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิด ในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ

--------------------------------------------------------------------------------
3.อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์อัลอะซาบ อายะฮที่ 33 ซึ่งมีใจความว่า

“และ จงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเจ้า และอย่าได้โอ้อวดความงาม(ของพวกเธอ)เช่นการอวดความงาม(ของพวกสตรี)แห่งสมัย งมงายในยุคก่อน และจงดำรงละหมาดและจ่ายซะกาตและจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์อัล ลอฮฺเพียงต้องการขจัดสิ่งโสโครกออกไปจากพวกเจ้าโอ้สมาชิกของวงค์ตระกูล(นะ บี)เอ๋ยและทรงประสงค์ที่จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์”

และที่ ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า " การมองสตรีโดยมิได้ตั้งใจถือว่าไม่มีความผิด แต่หากมองซ้ำอีก (เป็นครั้งที่สอง) ถือว่ามีความผิด " (บันทึกโดยติรมิซีย์)

อีกหะดีษบทหนึ่งท่านรสูลุลลอฮฺกล่าว ว่า " การทำซินา (การละเมิดประเวณี) ทางสายตา คือการมอง(สิ่งหะรอม) " (บันทึกโดยติรมิซีย์)

หรือที่ ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า "ดวงตาทั้งสองทำซินา กล่าวคือ การทำซินาของดวงตา คือการมอง" (บันทึกโดยบุคอรีย์)
จากอัลกุรอานและหะดีษข้างต้น นั่นก็เป็นการบ่งชี้ว่า ศาสนาไม่อนุญาตมองเพศตรงข้าม และให้เขาผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น ลดสายตาตัวเองต่ำ

อย่า ว่าถึงการโพสรูปไปยังสาธารณะชนเพื่อให้ใครก็ไม่รู้ เขาเห็น เขาวิจารย์ เขามอง เขาสัมผัสด้วยทางหนึ่งทางใดเลยนะครับ แม้กระทั่งการมองหน้าเพศหญิงศาสนายังอนุญาตให้มองเพียงครั้งแรกเท่านั้น หากมองซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองก็ถือว่ามีความผิด (นักวิชาการลงความเห็นว่า หากมองครั้งแรกแต่มองนาน เช่นนี้ก็ถือว่ามีความผิดเช่นกัน)
ฉะนั้น

เรื่อง เอาเราะห์ระหว่างชายและหญิงหรือใบหน้าชายและหญิง ศาสนามิได้พิจารณาว่า เขาจะโพสไปทางใด เขาจะแสดงออกในรูปแบบไหน แต่ศาสนาพิจารณาถึงการแสดงออกซึ่งการเคลื่อนไหวร่างกายของคนที่มอง คนที่แสดง คนที่โพสและคนที่
เป็นต้นเหตุของการมองต่างหาก ว่า เขามองอย่างไร เขาโพสทำไม เขาอวดโฉมทำไมแล้วสิ่งที่มอง สิ่งที่อวดโฉมนั้น อวดเพื่อใคร มองเพื่ออะไร มีความจำเป็นไหมที่ต้องมอง

ดังนั้น
หาก จะถามว่า การชมผ่านทีวี นักข่าว, ที่สถานศึกษา ครูบาอาจารย์, เพื่อนร่วมชั้น, เจ้านายผู้หญิง, เพื่อนร่วมงานหญิง หรือการโพสรูปเพื่อให้ใครอื่นเขามอง เขาเห้น เขาสัมผัส เขาวิจารย์ ต่าง ๆ เหล่านี้ หากเป็นการมองโดยขาดความจำเป็นที่ต้องมองและขาดซึ่งความตักวาภายในจิตใจที่ อัลลอฮสั่งใช้ให้มีการลดสายตา ดังนี้ แน่นอนการมองดังกล่าวเป็นสิ่งที่ฮารอมดั่งอัลกุรอานและหะดิษข้างต้นที่กล่าว ไว้

แต่หากการมองดังกล่าวที่ไม่ใช่การมองไปยังรูปที่โพสอยู่ตามไฮ ไฟล์ หรือเป็นกรณีจำเป็นที่ต้องการสอบถามเพื่อการรับรู้ซึ่งเรื่องราวศาสนา จากบรรดาผู้รู้ก็ดี หรือมีความจำเป็นที่จะมองในเรื่องอื่นๆเพื่อได้พูดคุยสอบถามในเรื่องราว วิชาการศึกษาจริงๆและเราไม่สามารถที่จะสอบถามเพศเดียวกันแล้ว ดั่งกล่าวนี้ ศาสนาก็อนุโลมได้แต่อย่าให้เกิดซึ่งฟิตนะฮทางความรู้สึกหรือจิตใจก็แล้วกัน
วัสลามูอาลัยกุม วาเราะฮฺมาตุลลอฮฺ วะบะรอฮฺกาตุฮฺ

18 พฤศจิกายน 2552

โอ้...เยาวชนแห่งสัจธรรม

เป็นที่ประจักษ์แก่เราทุกยุคทุกสมัยและทุกสังคมแล้วว่า เยาวชนคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สังคมมากที่สุด เพราะวัยของเขาคือวัยแห่งความเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจ วัยของเขาเป็นวัยแห่งพลัง พวกเขามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่พวกเขาต้องการ หากใครได้ครอบครองหัวใจหรือได้เป็นผู้นำของเขา แน่นอน ชัยชนะหรือการบรรลุสู่ความสำเร็จต่อการงานที่พวกเขาต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ดังที่เราเห็นในทุกวงการทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือศาสนาก็ตาม ดังนั้นเราจะเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ต้องการมีอิทธิพลต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น เขาจะต้องได้รับความร่วมมือจากพลังมวลชนที่เข้มแข็งนี้เพื่อจะทำให้เขาบรรลุสู่ความต้องการของเขา เพราะฉะนั้น เยาวชนจึงเป็นกลุ่มเป้าหมายของผู้ที่หวังจะประสบความสำเร็จในกิจการของเขา แต่ ! น่าเศร้าที่ปัจจุบันนี้เยาวชนส่วนมากได้ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย

แต่ สำหรับเขา “เยาวชนแห่งสัจธรรม” พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยพลาดพลั้งหรือไม่เคยยอมจำนนต่อการชักจูงของผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นเลย เพราะเขารู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของเขา การกระทำของเขา การตายของเขา ทุกอย่างในชีวิตของเขานั้นพลีเพื่ออัลลอฮเท่านั้น เพราะเขามั่นใจต่อสัญญาของอัลลอฮที่พระองค์จะตอบแทนต่อการพากเพียรของเขา และเขาคือกลุ่มชนที่อัลลอฮจะยกย่องสรรเสริญพวกเขา ดังที่อัลลอฮกล่าว ความว่า ““เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่เขา และเราได้ให้ความเข้มแข็งแก่หัวใจของพวกเขา ขณะที่พวกเขายืนขึ้นประกาศว่าพระเจ้าของเราคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เราจะไม่วิงวอนพระเจ้าอื่นจากพระองค์ มิเช่นนั้นเราก็กล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอน”” ซูเราะฮอัลกะฮฟ อายะฮ 13-14

นอกจากนั้นท่านนบียังได้ย้ำถึงวัยของพวกเขาว่าจะเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญ เขาควรที่จะขวนขวาย ควรที่จะปฏิบัติในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตในอาคิเราะฮของเขา ก่อนที่เขาจะไม่สามารถที่จะทำอะไรและที่สำคัญอัลลอฮจะสอบสวนว่าเขาได้ใช้มันไปอย่างไร ดังหะดีษที่ท่านนบีกล่าวว่า “สองเท้าของบ่าวคนหนึ่งจะไม่เคลื่อนในวันกิยามะฮ จนกว่าเขาจะถูกถาม 4 เรื่อง เกี่ยวกับอายุของเขาที่เขาได้ใช้หมดไป เกี่ยวกับวัยหนุ่มสาวที่เขาได้ใช้ไป เกี่ยวกับการกระทำของเขาที่ได้ทำไป เกี่ยวกับทรัพย์ของเขาที่เขาได้ขวนขวายมาแล้วได้จ่ายไป” บันทึกโดยอิหม่ามติรมีซีย์ และ “จงฉกฉวยโอกาสเอา 5 ประการแรกนี้ไว้ ก่อนที่ 5 ประการหลังจะมีมา คือ 1.ความหนุ่มความสาวของท่านก่อนวัยชรา 2.สุขภาพที่ดีของท่านก่อนความเจ็บป่วย 3.ฐานะที่ดีของท่านก่อนความยากจน 4.การมีชีวิตอยู่ของท่านก่อนความตาย 5.การมีเวลาว่างของท่านก่อนที่ท่านจะมีงานยุ่ง” รายงานจากอิบนุ อับบาส บันทึกโดยอัลฮากิม

ดังนั้น เยาวชนในปัจจุบันควรที่จะศึกษาว่า เยาวชนยุคก่อนหน้าพวกเราว่าเขาทำอะไร พวกเขาได้สร้างสรรค์สังคมอย่างไร พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาได้เสียสละต่อศาสนาของพวกเขาอย่างไร เพราะสิ่งนี้จะทำให้ท่านได้รู้และตระหนักว่าบทบาทหน้าที่ของท่านนั้นคืออะไร และจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่พวกเราได้ทำหน้าที่นั้น ดังเช่นที่คนก่อนหน้าพวกเราได้ทำมาแล้ว

โอ้เยาวชนแห่งสัจธรรมทั้งหลาย จงมาดูเถิดว่า เยาวชนแห่งสัจธรรมที่แท้จริงที่ได้รับการสรรเสริญที่ได้รับการยกย่องจากอัลลอฮ รซูลและบรรดาผู้ศรัทธานั้น เขามีการงานที่ดีอย่างไร ด้วยหวังว่าเราจะได้เป็นเช่นพวกเขาบ้าง อามีน


ญะซากุมุลลอฮุคอยร็อน : ฟิตยะตุลฮัก

05 พฤศจิกายน 2552

เกือบจะถึงลมหายใจสุดท้าย


อัลฮัมดูลิลลาฮฺกับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้กับบ่าวของพระองค์ผู้นี้อย่างเหลือคณานับ ทุกอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เว้นแต่เป็นสิ่งอนุมัติจากพระองค์ นับเป็นหนึ่งความเมตตาอย่างเหลือล้นกับสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้บ่าวผู้นี้ในเดือนร่อมาฎอนอันทรงเกียรติปี ฮ.ศ.1430นี้ ช่วงร่อมาฎอนที่เพิ่งผ่านมานี้เป็นร่อมาฎอนที่แปลกพิเศษที่สุดในชีวิตตัวเองที่ผ่านมา ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วยที่หนักที่สุดเท่าที่เคยได้สัมผัส(อัลฮัมดูลิลลาฮฺ) และช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง ทำให้มีอะมานะฮฺอันนึงที่ตัวเองได้บอกกล่าวกับอัลลอฮฺในช่วงหนึ่งขณะเจ็บป่วยนั้น ว่าจะบอกเล่าต่อแก่พี่น้องหากมันจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องให้มากที่สุด (เท่าที่พระองค์ให้ความสามารถ)
ณ ช่วงเวลาที่ได้รักษาตัวที่โรง พยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยอาการไข้สูง เจ็บคอ ไอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตัว เจ็บหู และปวดหัวจี๊ดๆ(เป็นบางช่วง) หนาวสั่น และอ่อนแรง อาการดังกล่าวอาจไม่รู้สึกทรมานอะไร หากมันไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่เมื่อรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาก็มักจะคอยบอกกล่าวกับตัวเองอยู่เสมอว่า ”อดทน อดทน อัลลอฮฺกำลังลบล้างความผิดให้กับเราอยู่ ” “อัลลอฮฺรักเราอัลลอฮฺจึงทดสอบเรา” ก่อนหน้านี้เคยแอบอิจฉาพี่น้องที่ได้รับความเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ เพราะรู้สึกว่าทำให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น ทำให้เขาได้รู้จักอดทน (“และอัลลอฮฺก็จะทรงอยู่กับบ่าวที่อดทน” ) สิ่งต่างๆเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ทำให้ตัวเองมีกำลังใจดีขึ้น และเนื่องด้วยเพราะได้รับกำลังใจจากคนรอบๆตัวและวงกว้างออกไป หลังจากนั้นอาการต่างๆก็เริ่มดีขึ้นมาจากวันที่ทรุดหนัก หลังจากที่หมอทำการวินิจฉัยโรคและทำการรักษาด้วยวิธีให้ฉีดยาฆ่าเชื้อ(ไปเกือบสิบขวด) และกินยา ซึ่งการกินยาเป็นอีกสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยอย่างมาก จำต้องกินยาหลายๆเม็ด บางเม็ดก็ใหญ่บะเริ่ม(แต่คนอื่นว่าเล็ก) โดยปกติแล้วเป็นคนไม่ชอบกินยามาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย เลยทำให้ต้องรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งนี้ จากนั้นก็ทำการรักษาเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ไข้ลดลงเป็นปกติ หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ พร้อมกับมียาติดไม้ติดมือกลับไปกินต่อ ...
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ก็มาพักฟื้นต่อที่หอพัก สามสี่วันจากนั้นมีเหตุทำให้ต้องกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยอาการมึนเวียน หน้ามืด และอาเจียรทุกวัน ตอนนั้นกำลังสงสัยตัวเองว่ามีอาการแพ้ยา เลยกลับไปยังโรงพยาบาลเดิมในช่วงกลางคืน จากนั้นก็เข้าพบหมอในห้องฉุกเฉิน หลังจากหมอซักประวัติเสร็จ หมอก็วินิจฉัยว่า อาจเป็นอาการแพ้ยา แล้วหมอก็ถามต่อว่า แล้วจะให้หมอฉีดยามั้ย? หรือจะเอายาไปกิน? เลยรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “ฉีดค่ะ” (เนื่องจากไม่ชอบกิน) หมอจึงสั่งพยาบาลให้ฉีดยาเข็มนึงซึ่งผสมด้วยตัวยาสองตัว พยาบาลบอกให้นอนบนเตียงในห้องฉุกเฉิน ที่ปิดรอบเตียงด้วยผ้าม่าน ซึ่งบรรยากาศในห้องนี้เต็มไปด้วยความ วุ่นวาย และเสียงดังโหวกเหวกมาก มีทั้งคนเพิ่งถูกรถชน คนเมาเหล้าประสบอุบัติเหตุ คนใส่เครื่องช่วยหายใจ เสียงพยาบาล และเสียงญาติผู้ป่วยที่มาโวยวาย หลังจากที่พยาบาลสั่งให้เหยียดแขนและกำมือ จากนั้นพยาบาลก็ฉีดยาเข็มนั้นเข้าไปในเส้นเลือดแขนข้างขวาเข้า แล้วก็เดินจากไป ในช่วงแวบนั้นที่ยาฉีดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกซ่าวืดไปทั้งตัว รู้สึกจะอาเจียรขึ้นมา และหายใจไม่ออก เลยพยายามจะยกตัวขึ้น และพยายามจะเปล่งเสียงเรียกพยาบาลที่กำลังยืนหันหลังพูดคุย กันอยู่ตรงหน้า ซึ่งห่างออกไปสักระยะ เรียกอยู่สามสี่ครั้งได้ พยาบาลจึงหันมา และเอากระโถนมาให้ แต่แม่ที่อยู่โต๊ะหมอ ซึ่งห่างไกลออกไปตั้งเยอะ ได้ยินเสียงเรียกลูก และวิ่งมาถึงที่เตียงพร้อมๆกับพยาบาล ตอนนั้นแม่บอกว่าหน้าลูกหน้าซีดเหมือนไม่มีเลือด ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทั้งมือและขา มือและตัวเย็บเฉียบ ไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงที่จะกำมือ รู้สึกหนาวสั่น และรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก เอ่ยถามแม่ที่ยืนอยู่ข้างหัวทีละ คำว่า “ทำไมถึงไม่แรงเลย หายใจไม่ค่อยออกด้วย” แม่เริ่มเสียงสั่น และวิ่งออกไปตามหมอมาดู บอกให้ดูลูกหน่อยว่าเป็นอะไร หมอและพยาบาลยืนมองนิ่ง ทำหน้าเหมือนให้คำตอบอยู่ตรงนั้นทั้งคู่ว่าไม่รู้เหมือนกัน จนแม่ดูท่าเหมือนหมอเองก็จะช่วยอะไรไม่ได้ เลยยืนจับมือแน่น และบอกด้วยเสียงอันสั่นๆให้นึกถึงอัลลอฮฺ บอกว่าอัลลอฮฺอยู่กับเรา และบอกให้กล่าวชาฮาดะฮฺอยู่ไม่หยุด
ในช่วงเวลานั้นก็ทำตามที่แม่บอก กล่าวชะฮาดะฮฺออกมาทีละคำๆด้วยกับน้ำตาและแรงหายใจที่รู้สึกว่ามีอยู่เล็กน้อย พยาบาลและหมอก็ยืนมองอยู่ตรงมุมเดิม ในช่วงเวลาที่นอนกล่าวชาฮาดะฮฺอยู่นั้น หัวใจสั่นระรัวนึกถึงแต่เพียงอัลลอฮฺและความตาย ในช่วงแรกหัวใจสั่นวุ่นวาย รู้สึกตกใจกลัว นี่จะถึงเวลาตายของเราแล้วใช่มั้ย ในช่วงแวบเดียวกันนึกถึงความดี-ความชั่วในอดีต ถึงนึกสวรรค์-นรก นึกว่าถ้าเราตายตอนนี้อะไรคือสิ่งที่อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนให้กับเราในอาคิเราะฮฺ และนึกถึงชีวิตแห่งหลุมฝังศพ รู้สึกกลัวอยู่ได้พักหนึ่ง สักครู่เดียวก็มีความคิดหนึ่งซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกเดิมเกิดขึ้นมา ซึ่งเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า แต่เราต้องพร้อมที่จะตายอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรอ ไหนเราเคยบอกกับคนอื่นๆว่าเราต้องพร้อมที่จะตายอยู่เสมอในทุกๆวินาทีทุกๆเวลา แล้วทำไมเราถึงต้องกลัวที่จะตายอีก เราต้องไม่กลัวสิ เราต้องพร้อมที่จะตาย เราต้องยอมรับในสภาวการณ์ของพระองค์สิ ทำไมเราต้องกลัวด้วย หากมันเป็นความประสงค์ของอัลลอฮฺก็ไม่มีอะไรขวางกั้นได้ทั้งนั้น นี่เราอายุยี่สิบเอ็ดเองเนอะเราก็ต้องตายแล้วหรอนี่ แต่หากพระองค์ทรงประสงค์ให้เราตายตอนไหนเราก็ต้องตาย ความคิดโจมตีตัวเองเข้ามาในหัวอยู่ไม่หยุด แต่ก็บอกกับพระองค์อีกว่าหากพระองค์ทรงให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เราจะพยายามเป็นบ่าวที่ดีที่สุดให้ได้ หลังจากนั้นก็ขอดุอาอฺ ขออภัยโทษต่อพระองค์อยู่ในใจ ช่วงเวลาเดียวกันก็พยายามจะหายใจให้อยู่รอดให้ได้ต่อไป พร้อมกับปากที่กล่าวชะฮาดะฮฺ และพยายามจะขยับมือขยับขาให้ได้ไปพร้อมๆกัน เพื่อประทังชีวิตตัวเองไว้ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองยังมีเรี่ยวแรงอยู่ แต่ในใจก็นึกถึงแต่พระองค์ ขออภัยโทษและขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ เพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกสิ่ง นอนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เมื่อหัวใจสามารถทำใจที่จะตายได้แล้วทำให้หัวใจเริ่มสงบ แต่ก็ยังมีแฝงด้วยความกลัวอยู่บ้าง ที่ยังไงก็ไม่สามารถขจัดไปให้หมดได้ในช่วงเวลานั้น ตามองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังตรงปลายขาเตียง วินาทีไหนน่ะที่พระองค์จะทรงเอาวิญญาณเรากลับไปยังพระองค์ นอนทำใจและปากกล่าวชะฮาดะฮฺอยู่ตลอด ไม่มีใครสามารถรู้ได้ถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นที่อยู่ในหัวใจเราได้เลยจริงๆเว้นแต่อัลลอฮฺ แม้กระทั่งแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆตัวเราในขณะนั้นก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าหัวใจเรารู้สึกยังไง ถึงแม้ว่าขณะที่เล่าออกไปให้ใครฟังก็ตาม ก็เชื่อได้ว่าไม่มีใครอาจสัมผัสความรู้สึกในวินาทีนั้นได้อย่างถึงใจจริงๆ มันน่ากลัวมากกับห้วงเวลาที่คิดว่ามันเกือบจะถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเราแล้ว มันต่างกันอย่างลิบลับกับช่วงเวลาที่เรานึกถึงความตายในช่วงปกติจนทำให้เรารู้สึกกลัว ร้องไห้ เพราะขณะนั้นในใจลึกๆแล้วเราไม่ได้รู้สึกจริงๆว่าตัวเราจะต้องตายในวินาทีนั้นเหมือนกับที่ประสบอยู่นี้
เมื่อหัวใจสงบลง ความวุ่นวายหายไป และสักพักหนึ่ง แม่ก็พูดอย่างมีความหวังขึ้นมาว่า หน้าลูกเริ่มมีสีขึ้นมาบ้างแล้ว และตอนนั้นรู้สึกได้ว่าลมหายใจเริ่มเข้ามาในปอดตัวเองมากขึ้น แต่มือและขาก็ยังคงอ่อนเรี่ยวแรงอยู่ พยายามนอนนิ่งทำใจให้สงบลงและยอมรับในทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ด้วยสายตาที่ยังคงมองไปยังเข็มนาฬิกาที่เดินหมุนไปในทุกวินาที พลางรอวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ แต่เมื่อนอนอยู่อย่างสงบพักหนึ่งก็รู้สึกเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมา สามารถขยับมือเองได้บ้างแล้ว แม่ยิ้มดีใจและมีความหวังขึ้นมา ถามว่าพอจะไหวแล้วใช่มั้ย ก็พยักหน้าตอบรับไปเพื่อความสบายใจของแม่ ทั้งที่ตอนนั้นยังรู้สึกว่าขายังคงอ่อนแรงยังไม่สามารถขยับได้อีก สักพักใหญ่ๆรู้สึกหายใจได้มากขึ้น และสามารถขยับมือ ขยับขาได้บ้างแล้ว พอดีกับหมอเดินมาถามว่า จะนอนโรงพยาบาลอีกสักคืนมั้ย เพื่อหมอจะได้สังเกตอาการ แต่ในใจตอนนั้นก็คิดว่า ขอกลับดีกว่า เพราะหากถึงเวลาที่เราต้องตายจริงๆ ถึงยังไงมนุษย์คนใดก็มิอาจขวางกั้นพระประสงค์ของอัลลอฮฺได้อย่างแน่นอน ถ้าจะต้องตายก็ไม่อยากตายในสภาพบรรยากาศห้องฉุกเฉินอันวุ่นวายนี่หรอก จึงบอกแม่ว่าขอกลับดีกว่า . . .
จากนั้นมาพระองค์ก็ทรงให้เราได้มีลมหายใจจวบจนวันนี้วินาทีนี้ นับได้ว่าเป็นกำไรของชีวิตอย่างมากที่พระองค์ทรงเมตตาให้ได้ลิ้มรสช่วงเวลาดังกล่าว ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ใจเสียอยู่สักพักใหญ่ๆก็ตาม แต่มันคุ้มค่ามากต่อการได้เตือนสติตัวเองและพี่น้องให้ต้องระลึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ให้ต้องพร้อมที่จะตายอยู่ทุกขณะและทุกสภาพ หากเมื่อใดถึงเวลาที่เราจะต้องกลับคืนสู่อัลลอฮฺผู้สร้างเรา เมื่อนั้นเราก็ต้องพร้อมที่จะกลับไปสู่พระองค์ โดยที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าหากเราตายในวินาทีใดนั้น หนทางในอาคิเราะฮฺของเราจะเป็นเช่นใด เราไม่อาจรู้ถึงน้ำหนักของสมุดบัญชีข้างซ้ายและข้างขวาได้ในตอนนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่าการงานใดบ้างที่พระองค์ทรงตอบรับและไม่ตอบรับ แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะที่เรายังมีชีวิตและมีลมหายใจอยู่ตอนนี้ก็คือ ทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ผู้สร้างเรา “แท้จริงแล้วชีวิตเราเป็นของพระองค์ และแน่แท้เราจะต้องกลับไปยังพระองค์”

สัญญาณแรกของกิยามะฮฺและความต่อเนื่อง


- วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺวาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า«يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا»ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)- สัญญาณวันกิยามะฮฺท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่- หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺแบ่งออกเป็นสามประเภท1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซจากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ... »ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าวจากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า«أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ »ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลกสัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- สอง สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺจากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าاطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : «مَا تَذَاكَرُونَ؟» قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : «إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ»ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)1. การปรากฏตัวของดัจญาลดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ) แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมดจากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าكُنَّا قُعُودًا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ، فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ، فَقَالَ قَائِلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ : «هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ، ثُمَّ فِتْنَةُ السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ ، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ : انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ يُصْبِحُ الرَّجُلُ فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ ، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ»ความว่า “พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม) หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่) จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้ เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“ (หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด : 6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)- ฟิตนะฮฺของดัจญาลการปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม) นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้ ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี 1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์- คุณลักษณะของดัจญาลท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษจากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า«إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ ، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ ، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ بِأَعْوَرَ»ความว่า “แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)- สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัวจากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า« ... إِنَّهُ خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً»ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม : 2937)- สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لَيْسَ مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ وَالْمَدِينَةَ»ความว่า “ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม : 2943)จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า«وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصى»ْความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2934)- สาวกของดัจญาลสาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า«يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ»ความว่า “จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน) จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)” (มุสลิม : 2944)- การป้องการภัยจากดัจญาลภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน ดังในหะดีษ«مَنْ حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ مِنَ الدَّجَّالِ»ความว่า “ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”وفي لفظ : «فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ الْكَهْفِ»อีกสำนวนหนึ่ง “ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ” (มุสลิม2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัมหลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่านจากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขาจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ ، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ ، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا»، ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله عنه : وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ «وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا» (النساء/159)ความว่า “ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน” จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..«وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا»ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)(หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม : 155)3. ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า«حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ»ความว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (อัล-อันบิยาอ์ : 96)2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า«إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى : إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ ، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ ، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ : لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ»ความว่า ”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง” (มุสลิม : 2937)หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบการเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น7. ควันไฟ«فَارْتَقِبْ يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ»ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน : 10-11)จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า«بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا : طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ»ความว่า “พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้) หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย) หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)” (มุสลิม : 2947)8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้«يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا إِنَّا مُنْتَظِرُونَ»ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม : 158)จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ فَيَوْمَئِذٍ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม : 157 สำนวนเป็นของท่าน)จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า«إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً»ความว่า “เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน” (มุสลิม : 2942)9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า«وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ»ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ : 82)จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«ثَلاَثٌ إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا : طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ الأَرْضِ»ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม : 158)10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชามลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ : رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ، اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا»ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย” (อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม : 2861)สัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺจากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าแท้จริง เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สลาม เข้ารับอิสลาม เขาได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงปัญหาต่างๆ ส่วนหนึ่งของคำถามที่ท่านถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คืออะไรคือสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ? ท่านตอบว่า«أَمَّا أَوَّلُ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ فَنَارٌ تَحْشُرُ النَّاسَ مِنَ المَشْرِقِ إِلَى المَغْرِبِ»ความว่า “ส่วนสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺคือมีไฟออกมาไล่ตอนมนุษย์จากทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตก” (อัล-บุคอรีย์ : 3329)สัญญาณต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺเริ่มปรากฏขึ้น สัญญาณอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังหะดีษต่อไปนี้1- อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«الأَمَارَاتُ خَرَازَاتٌ مَنْظُوْماَتٌ بِسِلْكٍ، فَإِذاَ انْقَطَعَ السِّلْكُ تَبِعَ بَعْضُهُ بَعْضاً»ความว่า “การปรากฏของสัญญาณต่างๆ นั้นเปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยสายเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆ กัน” (อัล-หากิม : 8639, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1762)2- จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى لاَ يُقَالَ فِي الأَرْضِ : اللَّهُ ، اللَّهُ»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่าในพื้นพิภพนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (มุสลิม : 148)3- จากหุซัยฟะฮฺ บิน อัลยะมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَكُونَ أَسْعَدَ النَّاسِ بِالدُّنْيَا لُكَعُ بْنُ لُكَعٍ»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่า ลุกะอฺ บุตรของลุกะอฺ จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก(เป็นการเปรียบเทียบว่า คนไม่มีความรู้ด้อยปัญญาจะขึ้นเป็นผู้ปกครอง)” (อัต-ติรมิซีย์ : 2209, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1799)

04 พฤศจิกายน 2552

ขอให้เป็นฉันกับเธอ


ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกับใครสักคน ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจกับใครสักคนทั้งเธอและฉันย่อมมีสิทธิเลือก . . . ใครคนนั้นของกันและกันอิสลามไม่ได้ทอดทิ้งเรื่องนี้
แต่ได้เสนอรายละเอียดไว้แล้วมากมายละเอียดอ่อน กว้างขวาง รอบคอบดังนั้น หากเธอจะเลือกใครสักคนซึ่งอาจมีคุณสมบัติตามที่อิสลามแนะนำอยู่บ้าง
ก็ ขอให้เป็นฉันเถิด ถ้าเป็นไปได้และหากฉันจะเลือกใครสักคนซึ่งมีคุณสมบัติตามที่อิสลามและนำอยู่บ้างก็ ขอให้เป็นเธอเถิด.....ที่ระลึก
รักเธอเพื่ออัลลลอฮฺ
. . . ให้เจ้าสาวของฉันเป็น . . .
ภรรยาที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ รักอัลลอฮฺยิ่ง เหนือสิ่งอื่นใดมากกว่าบิดา มารดามากกว่าสามี และลูกๆภรรยาที่รักท่านร่อซู้ลปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านเจริญรอยตามวิถีชีวิตของบรรดาอุมมะฮาต อัล-มุอฺมีนีน“มารดาแห่งเหล่าศรัทธาชน”ภรรยาที่รักชีวิตและครอบครัวมีความเป็นกุลสตรีต้องการเป็นแม่บ้านที่ดีด้วยเหตุที่เธอรู้ว่า . . . นั่นคือการญิฮาดของเธอภรรยาที่ศึกษาอัลกุรอานและใช้ชีวิตไปตามครรลองของอัล-กุรอานเพื่อที่เธอจะได้เป็นแม่บ้านที่ดีเป็นที่สุขตา สุขใจของฉันตลอดการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพราะฉันรู้ดีว่า อัล-กุรอานจะขัดเกลาให้เธอเป็น หญิงที่ประเสริฐ เป็น ภรรยาที่น่ารัก เป็น แม่ที่รู้จักเลี้ยงลูก เป็น ผู้ที่ผูกสายสัมพันธ์ของครอบครัว
เธอรู้ไหม . . . ท่านรอซู้ลกล่าวถึงพวกเธอไว้อย่างไร ท่านบอกว่า . . . ดุนยาล้วนเต็มไปด้วยความสุขสันต์ แต่สุดยอดของความสุขสันต์บนโลกดุนยานี้คือภรรยา ที่ดี ใช่แล้ว . . . ภรรยาที่ดี คือความใฝ่ฝันของผู้ชายผู้ศรัทธาทุกคน คือเจตจำนงของ อัล-อิสลาม ภรรยาที่มอบสิทธิความเป็นผู้นำให้กับสามี เพื่อจัดวางระบบครอบครัวให้มีระเบียบมีผู้นำ มีผู้ตามอัลลอฮฺตรัสว่า“ บรรดาชายนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคนและด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา”(อัล-กุรอาน ๔:๓๔)ท่านรอซู้ลยังได้กล่าวว่า“เพียงแค่นางละหมาดครบ ๕ เวลาถือศีลอดในเดือนรอมฎอนรั กษาพรหมจรรย์ของนาง และเชื่อฟังสามีของนาง นางจะเข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้ ตามที่นางต้องการ”ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมการที่เธอจะได้เป็นหนึ่งจากชาวสวรรค์จงภูมิใจเถิดที่เธอจะได้เป็นผู้ทวนกระแสในวจนะที่กล่าวว่าในนรกจะมีสตรีมากกว่าบุรุษการเป็นภรรรยา สตรีทุกคนทำได้แต่การเป็นภรรยาที่ดี . . . สตรีผู้ศรัทธาเท่านั้นที่ทำได้พราะเธอมีอัล-กุรอาน และฮาดิสเป็นธรรมนูญเธอจึงเป็นภรรยาที่สามีมองแล้วเย็นตาเย็นใจฟังเสียงแล้วรื่นรมย์ได้กลิ่นแล้หอมหวานสัมผัสแล้วอ่อนโยนคิดถึงแล้วสุขใจธอจึงเป็นภรรยาที่ทำให้สามีรู้สึกว่าตัวเอง คือ ผู้มีความสุขที่สุดในโลกอิสลามสอนให้สามีต้องเป็นคน “ขี้หึง”เปล่า . . . ไม่ใช่หึงแบบไม่มีเหตุผลหรือตามอารมณ์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจแต่มันคือความหึง . . . หวง . . . และห่วงใยยอมไม่ได้ที่เธอจะผิดหลักการดังนั้น ขอเธอจงละหมาดครบ ๕ เวลาขอเธอจงคลุมหิญาบขอเธอจงอย่าสนทนาหรือให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านขอเธอจงอย่าออกจากบ้านโดยสามีไม่รับรู้ขอเธอจงอย่าเอ่ยถึงชาอื่นต่อหน้าสามีขอเธอจงอย่าแต่งตัวสวย นอกจากเพื่อฉันเท่านั้นโปรดอย่าได้ตำหนิว่าฉันขอมากไปหรือบังคับเข้มงวดเพราะถ้าฉันไม่ขอร้องเธออย่างนี้ก็หมายความว่าฉันหึงหวงและห่วงใยเธอเลยเธอ . . . ผู้จะมาเป็นคู่ชีวิตของฉันคู่ชีวิตที่หมายถึงผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขขอให้เธอเป็นแรกที่จะยินดีในความสำเร็จของฉันและเป็นแรกที่จะเสียใจในความล้มเหลวของฉันเป็นคนเดียวที่คอยยืนเคียงข้างฉัน ยามที่ฉันเผชิญกับปัญหา “นี่แหละ . . . คู่ชีวิต”ฉันพยายามเต็มที่ในการสร้างฐานของครอบครัว
ขอเพียงกำลังใจจากเธอขอเธออดทนในยามที่ฉันยากจนและขอเธอมัธยัสถ์ในยามที่ฉันมั่งมีแล้วเธอจะเป็นสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษก่อนที่ฉันจะเลืเธเป็นแต่งงานฉันไม่ได้มองแค่ให้เธอมาเป็นภรรยาแต่ฉันมองหา “ แม่ของลูก”เพราะเป้าหมายของฉัน ไม่ใช่แค่สร้างครอบครัวแต่ฉันมีความมุ่งหวังจะสร้างสังคมสร้างประชาชาติอันดียิ่งให้กับท่านนบีมูฮัมมัดดังนั้นสมาชิกของประชาชาติอิสลามต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดีงามและเธอคือแหล่งกำเนิด ที่ฉันเลือกสรรแล้วฉันจึงฝากฝังให้เธอเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรหลานที่ดีช่วยฉันในการดูแลอบรมพวกเขาแน่นอนเธออาจจะต้องผูกพันธ์ ใกล้ชิดพวกเขามากกว่าฉันเธอจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด
ในภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ดังนั้นเธอจงช่วยฉันทำให้เข้าเป็นคนดีของพระองค์ไม่ตั้งภาคี . . . ดำรงการละหมาด . . . อดทน . . . ไม่เย่อหยิ่งแล้วเราจะได้รับรางวัลอันใหญ่ ณ พระองค์ในวันแห่งการตอบแทนเราไม่ได้แต่งงานกันเพื่ออยู่กันเพียงสองคนแต่เราแต่งงานกันเพื่อก่อให้เกิดความคำว่า เครือญาติเพื่อสร้างความเกี่ยวดองความเป็นพี่น้องและความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชาติดังนั้น เมื่อสองคนแต่งงานกันจะมีคนอีกอย่างน้อยสองตระกูลมาเกี่ยวพันกันนี่คือผลงานชิ้นแรกที่คู่แต่งงานได้ช่วยกันสร้างขึ้นสิ่งที่ทั้งสองต้องทำต่อไป ก็คือดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์นี้ด้วยการให้เกียรติเครือญาติของกันและกันเพราะเครือญาติ มีส่วนสำคัญมากมายในการจะทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองดำรงอยู่ต่อไปหรือ . . . ล่มสลายเพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตอะไรที่เธอปรารถนา มันคือสิ่งที่ฉันปรารถนาเช่นกันอะไรที่เธอรู้สึก มันคือความรู้สึกของฉันเราจะดูแลซึ่งกันและกันทั้งความรู้สึกของร่างกายและความปรารถนาของหัวใจสิ่งใดที่เธอสุขใจ ฉันจะขวนขวายทำมันเต็มที่สิ่งใดที่เธไมพอใจ ฉันจะหลบลี้หนีห่างขอเพียงเธอเอาใจใส่ความรู้สึกของฉันให้เกียรติฉัน ทั้งที่ลับและที่แจ้งให้เธอเป็นน้ำเย็น ยามที่ฉันเป็นไฟและฉันก็เช่นกันจะเป็นน้ำเย็น ยามที่เธอเป็นไฟสิ่งสุดท้ายที่ฉันวอนขอจากเธอก็คืออย่าพูดคำว่า “ ขอแยกทาง” ในยามที่เธอโกรธไม่ว่าเธอจะมีความไม่พอใจในตัวฉันเพียงใดหากว่าฉันไม่ทำผิดหลักการของอัลลอฮฺขออย่าได้ไปจากฉันเลยฉันอาจจะขอเธอมากไปแต่ขอให้รู้เถิดว่า นี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องก็ในเมื่อฉันรักในความดีงามของเธอฉันจึงไม่เรียกร้องเพราะ ความรักที่แท้จริง ต้องไม่มีข้อเรียกร้องใดๆถึงกระนั้นมันก็คือความรู้สึกของมุสลิมคนหนึ่งซึ่งปรารถนาจะสร้างครอบครัวอิสลามรอวันสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างใจจดใจจ่อเพื่อการเป็นสามีที่ดีให้แก่ผู้มาเป็นภรรยาเป็นพ่อที่ดีให้แก่ลูกๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการเพียรขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้การใช้ชีวิตคู่ระหว่างฉันกับเธอ . . .. . . เจ้าสาวของฉัน . . .. . . ให้เจ้าบ่าวของฉันเป็น . . .สามีที่ศรัทธาในอัลลอฮฺรักอัลลอฮฺยิ่ง เหนือสิ่งใดมากกว่าใคร ใคร ในโลกมากกว่า . . . แม้แต่ตัวฉันสามีทีมีท่านรอซู้ลเป็นแบบอย่างเป็นผู้ปฏิบัติตามซุนนะฮฺของท่าเป็นผู้เจริญรอยตามการทำงานของท่านและสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านสามีที่กระหายการญิฮาดในหนทางของพระองค์เพื่อที่เขาจะได้ทำให้ครอบครัวเรามีเกียรติ ณ อัลลอฮฺเพื่อที่เขาจะได้สอนลูกๆ ให้มีความกล้าหาญในหนทางแห่งพระองค์สามีที่มีอัลกุรอานเป็นครรลองในการดำเนินชีวิตเพื่อที่เขาจะได้ทำให้มันเป็นแนวทางในการครองชีวิตคู่ร่วมกับฉันเพราะฉันรู้ดีว่าอัลกุรอาน จะขัดเกลาให้เขาเป็น คนดีเป็น สามีที่มีคุณธรรมเป็น พ่อที่มีเมตตาธรรมเป็น หลักที่ในคงของครอบครัวอิสลามเสนอว่า สามีต้องเป็นผู้ให้ . . .ให้หลายสิ่งหลายอย่างแก่ภรรยาเริ่มตั้งแต่สิ่งแรกที่เขาให้ฉันในการเริ่มต้น “ มะฮัร ”เปล่าเลย . . . ฉันไม่ได้รู้สึกปลื้มปิติ หรือดีใจจนเนื้อเต้นในสิ่งที่เขานำมาให้เพราะฉันไม่ได้อยู่กับเขาเพื่อสิ่งนี้และเราไม่ได้อยู่ร่วมกันแค่สิ่งนี้สิ่งที่จะทำให้ฉันภูมิใจคือ “ ตัวเขา ”ตัวเขาที่จะมาเป็น “ ผู้ให้ ” กับฉันตามที่อิสลามได้สอนไม่ใช่เพียงมะฮัรฉันปรารถนาให้เขาให้ความรักให้ความเมตตาให้ความเอ็นดู สงสาร
ให้ความอบอุ่นให้ความมั่นใจให้ความยุติธรรมและ . . . ให้อภัยแก่ฉันเพราะเราต้องอยู่ด้วยกัน . . . ตลอดชีวิต (อินชาอัลลอฮฺ)อิสลามเสนอว่า สามี ต้องรับผิดชอบรับผิดชอบต่อภรรยา และ ลูกๆเขาคงจะต้องเหนื่อยมากในการหา “นะฟะเกาะฮฺ”
ให้กับครอบครัว แต่ . . . ไม่เป็นไร
ยามที่เขาอ่อนล้า . . . ฉันจะเป็นกำลังใจ
ยามที่เขาร้อนกลับมา . . . ฉันจะเป็นน้ำเย็นลูบไล้
ยามที่เขาเหงื่อโทรมกาย . . . ฉันจะเป็นผ้าซับเหงื่อให้
ขอเพียงเขามี “ อะมานะฮฺ” ต่อฉันและลูกๆ
ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรเกินความสามารถของเขา เพราะฉันไม่ได้แต่งงานกับเงินแต่ฉันแต่งงานกับ “ คนดี ”แล้ว “ ริสกี ” อัลลอฮฺจะประทานให้เองคนดี . . . ใช่ เป็นคำที่มีความหมายมายยาก . . . ที่หลายคนจะเป็นแต่ฉันขอเพียงเท่านี้ . . . เท่าที่อัลกุรอานได้บอกว่า“ ศรัทธาชนเอ๋ยจงปกป้องตนเองและครอบครัวให้พ้นจากไฟนรก ”ทำได้ไหม? . . . ปกป้องฉันและลูกๆ ให้พ้นจากไฟนรกฉันขอให้เขาเป็นแค่นี้เท่านั้นเองถ้าเขาทำได้ . . . ฉันจะเรียกเขาว่า “ คนดี ” อย่างสมภาคภูมิใจ
“ สามี ” คือผู้มีสิทธิในตัวภรรยาแต่ไม่ใช่ถืออำนาจบาตรใหญ่บังคับ ข่มขู่ฉันไม่ได้แต่งงานกับเขาเพื่อให้เขากดขี่แต่ฉันอยากให้เขาเป็นเพื่อน . . . พี่ . . . ครู
เป็นเพื่อน ที่คอยให้กำลังใจ ปลอบใจให้คลายเหงา
เป็นพี่ ที่คอยปกป้อง คุ้มครองผองภัย
เป็นครู ที่คอยให้คำสั่งสอนชี้แนะ
แล้วฉันก็จะคอยเป็น เพื่อนคู่คิด เป็นน้องสาว เป็นศิษย์ที่ดีให้กับเขา ด้วยความเต็มใจใช่บางครั้ง ฉันอาจจะดื้ออาจจะเอาชนะบางที ธรรมชาติในตัวฉันในธรรมให้ฉันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แต่อยากขอร้องให้เขาอดทน . . . ต่อฉันให้อภัย . . . แก่ฉันมองข้ามความผิดเล็กๆ น้อยๆ . . . ของฉัน. . . ดังที่ท่านรอซู้ลได้บอกว่าสามีต้องให้อภัยภรรยาวันละ ๗๐ ครั้งอยากให้เขาทำได้อย่างนั้นส่วนฉันจะไม่เอาเปรียบเขาหรอกฉันก็จะอดทน . . . ให้อภัย . . . มองข้ามความผิดเล็กน้อยของเขา
และจะเป็นภรรยาที่รู้จักให้อภัยในความผิดพลาดและรู้จักบุญคุณของสามีเหมือนที่ท่านรอซู้ลได้บอกเอาไว้เช่นกันฉันอาจจะขอเธอมากเกินไปแต่ขอให้รู้เถิดว่านี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเมื่อฉันรักในความดีของเขาฉันจึงไม่เรียกร้องเพราะความรักที่แท้จริงต้องไม่มีข้อเรียกร้องใดๆถึงกระนั้นมันก็คือ . . . ความปรารถนาของมุสลิมะฮฺคนหนึ่งซึ่งอยากจะให้สิ่งที่อาจเรียกว่า“ ครั้งเดียวในชีวิต ”ได้ประสบความสำเร็จ . . . ตลอดรอดฝั่งเพราะฉันไม่หวังอะไรในชีวิตคู่มากกว่าการมีสามีที่ดี . . . บุตรที่ดีและครอบครัวที่มีความสุขนี่เป็นสิ่งที่ฉันขอ เพียรขอต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของฉันกับเขา. . . เจ้าบ่าวของฉัน . . . บรรดากุลสตรีนั้น คือ
ผู้จงรักภักดีผู้รักษา (สิทธิของสามี)ขณะที่สามีไม่อยู่ตามที่พระองค์ทรงรักษาไว้(ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของนาง)(อัลกุรอาน ๔:๓๔ )
. . . แด่คู่บ่าวสาวทุกคน . . .
ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่านี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเพราะความรักที่แท้จริงต้องไม่มีข้อเรียกร้องใดๆนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจของคู่บ่าวสาวในวันนี้เท่านั้นแต่เป็นความในใจของหนุ่มสาวมุสลิมทุกคนนี่ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการครองชีวิตคู่เพราะอิสลามมีอะไรมากกว่านี้ยิ่งใหญ่ นำสมัย ครอบคลุมอิสลามถือว่า ครอบครัวที่ดี
คือจุดเริ่มต้นแห่งความดีทั้งมวล ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงเสียงหนึ่งของหนุ่มสาวที่ต้องการสร้างครอบครัวมุสลิมเป็นเพียงความปราถนาที่อยู่ในใจของคู่แต่งงานทั้งหลาย
เป็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำสอนที่อิสลามได้มอบให้แค่คู่บ่าวสาวทุกคน . . . . . . .... ที่ระลึก
แด่... มุสลีมีนและมุสลีมะห์ที่รัก.. เพื่อ ..อัลลอฮฺ

นิกอบหรือบิกีนี่


ใช่คนที่ปิดหน้า จะดีกว่าคนที่เปิดหน้าไม่ ใช่คนที่สวมนิกอบจะดีกว่าคนที่ไม่สวมไม่ และใช่คนที่ไม่สวมใส่คลุมผมจะเท่าเทียมกว่า คนที่สวมบิกีนี่ไม่ แต่หากคนที่มีอีหม่านตักวาศรัทธามากกว่าหรอกนะ ที่เค้าเหล่านั้น จะดีกว่าและประเสริฐกว่า
พี่น้องที่ศรัทธาเอ๋ยจากวิถีการดำเนินชีวิตของสังคมตะวันตกที่ได้ทะลักเข้าสู่สังคมบ้านเราใน ปัจจุบัน จึงส่งผลกระทบต่อจริยธรรมและศีลธรรมอันมีอยู่ในตัวบุคคลหลายๆคนในสังคมเรา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องวิถีชีวิต มุมมองและความคิดต่างๆก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน สิ่งที่กล่าวมานี้ย่อมหนีไม่พ้นที่จะมีผลกระทบต่อสังคมมุสลิมเราด้วย
บางครั้ง เราเองมักจะตั้งคำถามหรือได้ตั้งมาตรฐานของความคิด มุมมองและการแสดงออกถึงความเป็นมุสลิมต่อพี่น้องเราในบางเรื่อง บางเหตุการณ์ในทางลบ แต่ในทางกลับกันการแสดงออกถึงความญาฮีลียะห์ ของคนในบ้านเราเมืองเราในทุกวันนี้ เรากลับแสดงออกถึงความรัก ชื่นชม และเยินยอ แล้วนำมาซึ่งการเลียนแบบ และติชมกันมากมาย ว่านั่นคือสิ่งที่สวยงาม ว่านั่นคือสิ่งที่ดีควรที่จะเป็นแบบอย่างหรือเลียนแบบ อันเนื่องจากมันเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นสมัยใหม่นั่นเอง ท้ายที่สุดแล้วมุสลิมเราก็ไม่น้อยหน้า เพราะมุสลิมจะล้าสมัยไม่ได้ ก็เอากับเค้าด้วย แต่ในความเป็นจริงการแต่งกายของพวกเค้าเหล่านั้นมันคงไม่ต่างอะไรมากนัก หากเราจะเรียกมันว่า นั่นก็คือ ชุดบิกีนี่ตัวหนึ่งนั่นเอง!!!!
น่าแปลกไหม ว่าวันนี้ !!! ทำไม ทำไมต้องสวมนิกอบด้วย ทำไมต้องปิดหน้าด้วย ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ ก็ในเมื่อเปิดหน้ามันไม่ผิดนะ แล้วจะปิดให้ร้อนกันทำไม เวลาพูดคุยก็ลำบากนะ ไม่เห็นปากขยุบขยิบ ลำบากนะ ลำบาก และอีกสารพัด คำถามและข้อสงสัยกับเพียงแค่คำว่า “นิกอบ”หรือ “ปิดหน้า”แปลกใจไหม ว่าทำไม ทำไมและทำไม กับแค่คำไม่กี่คำจึงถูกตั้งด้วยกับพี่น้องเราเสียเองครับ หรือเพราะเราอ่อนแอ หรือเพราะเราอ่อนความรู้ หรือเพราะเราขาดซึ่งการเรียนรู้และตระหนักของ นิยาม กับคำเหล่านี้ครับ แต่ไม่ ไม่ครับหรือเพราะมุสลิมเราถูกสังคมตะวันตกกลืนเข้าไปแล้วครับ .....พี่น้อง
พี่น้องครับ เมื่อคนสวมนิกอบหรือคลุมหน้า กลับถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่สุดโต่งหรือคนเคร่ง และเมื่อการสวมคลุมผมนั้น กลับถูกมองว่าไม่เรียบร้อยและเป็นการลดเกียรติ แล้วอย่างนี้เราในฐานะที่เป็นผู้ศรัทธา เรามีทัศนะคติกับเรื่องข้างต้นนี้อย่างไร หรือก็จริงตามที่เขาว่า หรือก็ถูกตามที่เขามอง แล้วอย่างไรเล่าคือมาตรฐานที่อิสลามให้เรามองครับ
ทำไมหนอ!!!การแต่งกายที่เผยซึ่งสัดส่วนอันเพียงนิดเพียงน้อย จนแทบจะเปรียบกับชุดบิกีนี่ตัวหนึ่งของหญิงสาวเราในสังคมดารา นักร้อง นักแสดง หรือแม้กระทั้ง ในสังคมหญิงสาวมุสลิมเรา เรากลับนิ่งเฉย ดูดาย ชื่นชม และเป็นที่รักของเรา ทั้งกับการเสียสละเวลาเพื่อการนั่งชม หรือการสนับสนุนเห็นด้วย ถึงขนาดนั้นครับ แต่เมื่อเราได้รับรู้ถึงมุสลีมะห์เราบางคนที่หันมาตระหนักถึงฟิตนะฮ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับตน จนพัฒนาการมาถึงการคลุมหน้า สวมนิกอบ เราแทบจะรับไม่ได้และมองถึงกลุ่มคนเหล่านี้กันอย่างผิดๆถูกๆ หรืออย่างมีใจเป็นอคติกันหล่ะครับ
เรามิได้บอกว่า คนปิดหน้าจะดีกว่าคนเปิดหน้าครับ และเราไม่ได้บอกว่าคนที่สวมนิกอบนั้นจะประเสริฐกว่าคนที่เปิดหน้าในส่วนของ มุมมองในทางสังคม ดั่งที่ใครๆมักจะมองถึงการกระทำของผู้ที่ปิดหน้าในบางเรื่อง บางประการ ซึ่งเป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัวที่แสดงออกมาไปในทำนองที่ทำให้พี่น้องเรา เข้าใจว่า สังคมระหว่างพี่น้องที่ปิดหน้ากับไม่ปิดหน้า ย่อมมีมาตรฐานที่แตกต่างกันไปแล้วหรือ หรือเรียกง่ายๆว่า มีสองมาตรฐานนั่นเอง สิ่งดังกล่าวนี้ ย่อมไม่ใช่เป้าหมายของผู้ที่ปิดหน้าของเราส่วนใหญ่เป็นแน่ ที่เค้าแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้นครับ..พี่น้อง แต่เราเพียงจะบอกพี่น้องว่า คนที่สวมคลุมผมหรือปิดหน้าจะเท่าเทียมกว่าคนที่ไม่สวมคลุมผมหรือ!!และเรา เพียงอยากบอกพี่น้องว่า ทำไมเราไม่เรียกร้องให้มีการปกป้องเกียรติของความเป็นมุสลิมะห์กันมากกว่า นี้กันเล่า!!!
มาซิครับ เรามาปรับซึ่งมุมมอง เรามาร่วม เรามาแสดงออกถึงจุดยืน จุดต่าง และจุดร่วมในความเห็น ความมีเกียรติกับสิ่งเหล่านี้กันดีกว่าไหม เรามาพัฒนาการถึงการแต่งตัวของเราในทุกวันนี้กันดีกว่าไหม
จากที่ฉันเพียงแค่คลุมผม แต่ยังใส่เสื้อฟิตๆ เรามาใส่เสื้อหลวมๆกันไหม
จากที่ฉันเพียงแค่คลุมผม แต่ยังเปิดเอาเราะห์ในส่วนเท้า เรามาใส่ถุงเท้ากันไหม
จากที่ฉันเพียงแค่คลุมผม แต่ยังเปิดเอาเราะห์ในส่วนแขน เรามาใส่ปลอกแขนกันดีกว่าไหม
จากที่ฉัน เพียงแค่ใส่คลุมหน้าแต่ยังเผยซี่งเอาเราะห์ในส่วนแขน เรามาใส่ปลอกแขนกันดีกว่าไหมและจากที่ฉันเพียงแค่คลุมหน้าและสวมนิกอบกัน เรามาคลุมทั้งกายและใจกันดีกว่าไหม เรามาศัลยกรรมอีหม่านและการวางตัวกันดี กว่าไหมครับ
ใช่!!!!เรามักจะอ้างว่า เรายังไม่พร้อมหรอกที่เราจะปิดหน้า เรายังไม่พร้อมหรอกที่จะสวมใส่ปิดกั้นถึงขนาดนั้น แต่เราจะอ้างกันอีกนานเท่าไหร่กันครับ ว่าเรายังไม่พร้อมที่จะคลุมผมกัน เรายังไม่พร้อมหรอกที่จะสวมใส่แบบหลวมๆๆและไม่เปิดเผยซึ่งสัดส่วนกัน เมื่อไหร่จะพร้อม เมื่อไหร่จะเปลี่ยนกัน จะรออะไรกันอีกเล่า หรืออุปสรรคบางประการของเรามันคือสิ่งสำคัญที่เราไม่คิดและจะทบทวนว่า สิ่งที่เราสวมอยู่กันในวันนี้ คือสิ่งที่อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงกริ้วโกรธเพราะเราฝ่าฝืนคำสั่งใช้พระองค์อยู่ครับ
น่าเห็นใจนะหากเค้าเหล่านั้น ต้องเจอะเจออุปสรรคสารพัด หากการที่เค้าจะคิดยืนหยัดและเปลี่ยนแปลง แต่หากเค้าเหล่านั้นมองข้ามอุปสรรคบางอย่างนั้นไป เค้าเหล่านั้นจะทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว อุปสรรคที่เกิดขึ้น มันคือสิ่งทดสอบถึงการที่เค้าจะคิดยืนหยัดในหลักการของอัลลอฮ(ซ.บ)ต่างหาก หล่ะ
เอาหล่ะ ท่านจะสวมนิกอบ หรือท่านจะสวมบิกีนี่ ก็จงเลือกดูนะ แต่ท่านจงรับรู้ไว้เถิดว่า การสวมของท่าน คืออีหม่านของท่าน และอีหม่านของท่านคือความตักวาของท่าน และความตักวานี้หล่ะนะคือสิ่งที่ติดตัวท่านไปยังพระองค์อัลลอฮ(ซ.บ)ครับ... อินชาอัลลอฮ
และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอและอย่าได้โอ้อวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่น การอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน และจงดำรงการละหมาดและจ่ายซะกาต และจงภักดีต่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์...[อัลอะหฺซาบ :33]
والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ดอกไม้ของอัลลอฮฺ เธอมีค่ามากกว่านั้น


ตอนนี้ฉันเห็นดอกไม้อยู่หลายดอก... มีทั้งดอกตูม ดอกที่กำลังจะบาน ฉันเดินดูอยู่ห่างๆ ในใจอยากเข้าไปเลือกหา เลือกดู ...แต่กลัวดอกไม้เหล่านั้นจะช้ำ ไม่สวยเหมือนเดิม ... ก็ได้แต่ดูอยู่ห่างๆ รอเวลาที่พร้อม พร้อมที่จะดูแลดอกไม้บางดอกที่สวยและมีคุณภาพพอ แล้วฉันก็ย้ายดอกไม้ดอกนั้นมาปลูกในกระถางของฉัน แล้วดูแลเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน ...ให้ความรัก ความห่วงใยแต่ก่อนจะถึงตอนนั้น อยากให้เหล่าดอกไม้แสนสวย ได้รักษาความงามทั้งกายและใจของตนเอาไว้ พร้อมทั้งเพิ่มพูนความงาม ความสดใส และความอุดมสมบูรณ์ด้วยกับ "อีหม่าน" ด้วยกับ " ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ" ให้มาก อย่ายอมให้สิ่งใด มาทำให้ความงดงามของเธอลดลงไป เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะภูมิใจคุ้มค่ากับสิ่งที่เธออดทน
แน่นอน ฉันเองก็จะแก้ไขปรับปรุงตนเองเพิ่มพูนคุณสมบัติต่างๆให้พร้อมเพราะเหล่าดอกไม้เองก็มีสิทธิเลือกผู้ดูแลเช่นกัน เวลานี้ก็ต้องอดทน อยากได้สิ่งดีต้องใช้เวลา สิ่งที่ได้มาง่ายๆเรามักไม่เห็นค่าของมัน
... ดอกไม้ที่ถูกเด็ดหรือตัดออกมา ย่อมมีความงามอยู่จำกัด ไม่นานก็ร่วงโรย ผู้ที่เลือกดอกไม้เหล่านี้ไป ก็เห็นความงามเห็นคุณค่าของเธอเพียงไม่นานเมื่อเจอดอกไม้ที่สวยกว่า ก็จะจากไป ...ทิ้งให้ดอกไม้ที่ถูกเด็ด ร่วงโรยไปอย่างไร้ค่า "ดอกไม้ของอัลลอฮฺ เธอมีค่ามากกว่านั้น"

สัจธรรมแห่งชีวิตคู่


ชีวิตคู่ : บริบทหนึ่งที่มีอยู่ในทุกสังคมของสิ่งมีชีวิตทั้งคน สัตว์และแม้กระทั่งพืช การถูกกำหนดให้มีการปฏิสัมพันธ์เป็นคู่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงไม่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ แต่ด้วยเป้าหมายที่มีรายละเอียดไม่เหมือนกัน จึงทำให้การครองคู่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภท กลายเป็นความเหมือนที่แตกต่าง
ชีวิตคู่ของพืชมีเป้าหมายเพียงเพื่อผลิดอกออกผลและขยายพันธุ์ พืชไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรือกฎเกณฑ์ในการเลือกคู่แต่อย่างใด เมื่อใดก็ตามที่เกสรตัวผู้ซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้สบโอกาสมาตกอยู่บนเกสรตัวเมียซึ่งไม่เคยคุ้นหน้าค่าตากันมาก่อน เมื่อนั้นการปฏิสนธิก็เริ่มต้นขึ้นและตัวมันเองก็กลายสภาพเป็นดอกผล ในขณะที่สัตว์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้นมาหน่อยก็เริ่มมีหลักเกณฑ์ทางอารมณ์ ความคิดและศิลปะในการดึงดูดเพศตรงข้ามมาเกี่ยวข้อง สัตว์มีวิธีการคัดเลือกคู่โดยดูจากรูปลักษณ์ภายนอก เช่นความสง่างาม ความแข็งแรงถ้าตัวผู้หรือตัวเมียเกิดพอใจในตัวใดมันก็จะดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายด้วยวิธีการต่างๆ เช่นโชว์ความสามารถในการต่อสู้เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองแข็งแรงกว่าสัตว์ตัวอื่นๆบางชนิดก็โชว์ความสวยงาม เช่น การลำแพนหางของนกยูง การส่องแสงที่ก้นของหิ่งห้อย บางชนิดก็มีการเกี้ยวพาราสีกันโดยการส่งเสียง หรือเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย ก็ยังมีให้เห็นในสัตว์เลี้ยงบางชนิด เมื่อทั้งคู่ต่างพอใจในกันและกันแล้วก็จะเข้าหากันอย่างไม่ต้องมีพิธีรีตอง เมื่อ
ตัวผู้เกิดเบื่อคู่ของมัน มันก็จะทิ้งให้ตัวเมียเลี้ยงดูลูกน้อยๆแต่เพียงผู้เดียวหรือเมื่อตัวเมียเกิดเบื่อ มันก็พร้อมที่จะทิ้งลูกๆของมันเพื่อไปหาคู่ตัวใหม่อย่างไม่ไยดีเช่นกัน นี่คือความจริงที่เราพบเจอได้ในสังคมสัตว์ มาดูชีวิตคู่ของคนกันบ้าง จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตคู่ของคนทั้งโลกพบว่า กว่า 80%พร้อมใจกันนำวิธีการหาคู่แบบสิ่งมีชีวิตชั้น 2 มาใช้โดยไม่รู้ตัว บางคนกลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตชั้น3แล้วก็มีไม่น้อย บางคนเลือกเพราะความพอใจในรูปลักษณ์ บ้างก็เพราะทรัพย์สิน หรือตำแหน่งทางสังคม บางคนไม่ต้องเลือกเลยเพราะทำเป็นอาชีพ แล้วแต่ว่าวันดีคืนดีจะได้ใครมาตกเป็นคู่ค้าชั่วคราว โดยถือว่าตัวเองมีอิสระในการคบหากับใครก็ได้ พอๆกับอิสระในการเลือกที่จะเป็นโรคติดต่อที่ไม่มีทางรักษา บางคนก็ขอเรื่องคุณธรรมบ้างพอเป็นอารยะแม้จะเป็นเงื่อนไขสุดท้ายก็ตาม การแต่งงานซึ่งเคยเป็นตัวบ่งชี้ถึงอารยธรรมการครองคู่ของมนุษย์ก็กลายเป็นสิ่งที่นักรักจอมปลอมทั้งหลายพากันหลีกเลี่ยง หรือหากมีการแต่งงานเกิดขึ้นก็ไม่มีใครวางใจได้ว่าอีกฝ่ายจะมั่นคงกับตัวเองไปได้นานแค่ไหนเพราะก่อนแต่งตนเองได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดแล้ว เมื่อไม่เหลือสิ่งใดที่จะดึงดูดใจของอีกฝ่าย ชีวิตคู่ของคนพวกนี้ก็มีอันต้องสิ้นใจก่อนวัยอันควร
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะยุคสมัยใด บรรดาชายหญิงที่คบหาดูใจกันเพื่อแต่งงานก็ยังคงค้นหาความจริงของว่าที่คู่ชีวิตต่อไป ในขณะทั้งคู่ก็ต่างรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังใส่หน้ากากเข้าหากัน และบทเรียนของการคบหากันแบบนี้ก็ย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะไม่มีวันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของกันและกันจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายจะหมดความสนใจและไม่ว่าฝ่ายที่ผิดหวังจะเป็นชายหรือหญิง สิ่งที่ทั้งคู่ได้ทุ่มเทลงไปก็ไม่เคยให้อะไรกลับมา แต่บางคนก็ปลอบใจตัวเองด้วยการอัพเกรดความ
สูญเสียที่ได้รับเป็นความภาคภูมิใจด้วยซ้ำ และนี่คือเกมที่ไชฏอนกำลังเล่นกับเหยื่อของมันชีวิตคู่ของมนุษย์ที่เป็นมุสลิม
หากพูดถึงชีวิตคู่ในนิยามของผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว แน่นอนที่สุดว่าต้องเริ่มด้วยการนิกาฮฺ(แต่งงาน) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างชายหญิงที่เป็นไปเพื่อแสวงหาความพอใจจากพระเจ้าของเขา ไม่ใช่เป็นจุดจบของความรักที่ทั้งคู่ร่วมกันบ่มเพาะจนสุกงอมก่อนจะเข้าสู่พิธีแต่งงาน ชีวิตคู่ของมุสลิมมีความแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และมันก็ยิ่งต่างขึ้นไปอีกเมื่อมนุษย์ทั่วไปเลือกที่จะใช้ชีวิตคู่อย่างสัตว์หรือพืช การเลือกคู่ของมุสลิมใช้หัวใจพิจารณาที่หัวใจ ไม่ได้ใช้สายตาพิจารณาที่รูปกายไม่ต้องมีการดึงดูดเพศตรงข้าม เพราะมุสลิมเข้าใจดีว่าเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ทำเพื่อมนุษย์ด้วยกัน เขาก็จะได้กลับมาเท่าที่มนุษย์สามารถให้ได้
แต่ถ้ามนุษย์ทำเพื่ออัลลอฮฺ เขาก็จะได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ มุสลิมไม่มีการคบหากันก่อนแต่งเพราะวิธีนี้จะไม่ทำให้เขาได้ข้อมูลที่เป็นจริง แต่มุสลิมเลือกใช้วิธีที่ฉลาดกว่า คือการสืบข้อมูลโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว และเกณฑ์ที่ใช้ก็คือศาสนาที่มีอยู่ในตัวเขาเพราะสิ่งนี้จะไม่เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลาการแต่งงานของมนุษย์ที่เป็นมุสลิมมีจุดหมายปลายทางที่เหนือชั้นกว่าคนธรรมดาตรงที่ไม่ได้เป็นคู่กันเฉพาะโลกนี้ แต่ทั้งคู่จะเป็นคู่ครองของกันและกันยาวไปถึงโลกหน้าความจริงความรักแบบนี้ต่างหากที่สมควรเรียกว่า“รักนิรันดร์” การใช้ชีวิตร่วมกันในโลกนี้เป็นเพียงทางผ่านในการทำให้ศาสนาของคนทั้งคู่สมบูรณ์ ช่วยกันแนะนำตักเตือนเสริมสร้างความดีเกื้อหนุนกันอีกฝ่ายทำหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรอรับการตอบ
แทนที่จีรังในโลกที่แท้จริง มุสลิมตระหนักดีว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องของอารมณ์แต่เป็นเรื่องของศาสนาที่จะต้องใช้ความรอบคอบอย่างยิ่งในการเลือกผู้ที่จะมาร่วมบทบาทที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือบทบาทของผู้ผลิตสมาชิกใหม่ของประชาชาตินี้และอบรมเลี้ยงดูให้เป็นบ่าวที่พระผู้เป็นเจ้าพึงปรารถนาเป็นทหารของอัลลอฮฺหรือเป็นผู้ให้กำเนิดนักฟื้นฟูอิสลามอีกหลายชีวิตในภายภาคหน้า
เนื่องจากมุสลิมเลือกคู่ครองด้วย “จิตวิญญาณแห่งอิสลาม” จึงทำให้ไม่ต้องมีใครตกอยู่ในภาวะเสี่ยงในการใช้ชีวิตคู่ เพราะไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข เขาก็จะใช้อิสลามนำทางเสมอ เมื่อมีความสุขเขาก็จะให้เกียรติกันเมื่อเจอความทุกข์เขาก็จะรักษาเกียรติของกันและกัน ความรักที่มีให้กันเพื่ออัลลอฮฺคือจุดเด่นของชีวิตคู่ในอิสลาม แม้ความห่างของสถานที่หรือความสั้นของกาลเวลาในการร่วมอยู่กันบนโลกใบนี้ก็ไม่อาจทำให้สายสัมพันธ์ชนิดนี้ขาดสะบั้นลงได้เพราะคู่ชีวิตของอิสลามเป็นคู่หัวใจที่ผูกมัดด้วยสายเชือกของผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
“(สำหรับบรรดาผู้ยำเกรงนั้นจะได้รับ) สวนสวรรค์ทั้งหลายอันสถาพรพวกเขาจะเข้าไปอยู่พร้อมกับผู้ทำดีจากบรรพบุรุษของพวกเขาและคู่ครองของพวกเขา และบรรดาลูกหลานของพวกเขา และมลาอิกะฮฺจะเข้ามาหาพวกเขาจากทุกประตู” (อัร-เราะอฺดุ 13 : 23)
ญะซากุมุลลอฮุคอยร็อน

อีหม่านอ่อน


อ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ
โอนอ่อนไปตามกระแส
แต่กลับกลายเป็นอีกคนที่
มีหัวใจแข็งกระด้าง
ทำความดีลวกๆ
ทำบาปบ่อยครั้ง
ขาดพลังในการยืนหยัดต่อสู้
ขี้เกียจอีกแล้ว แม้แต่เล็กน้อย
เบื่อหน่าย ที่จะทำอะไรเพื่อวันโลกหน้า
เคยเป็นอย่างนี้ไหมตัวเอง
คงเป็นเพราะเรา
กินอาหารไม่ระวัง
คบเพื่อนไม่พิจารณา
รู้สึกว่าตัวตนรู้มาก
เขาไปในแสงสีเสียงบ่อยขึ้น
คุยโทรศัพท์นอกเรื่อง แถมยังโกหกตัวเองทุกวัน
อัลกุรอ่านเริ่มไม่ค่อยได้จับต้อง
ละหมาดขอให้เสร็จ ให้พ้นๆ
ยิ่งเร็วยิ่งดี กว่าจะเริ่มก็รอให้ใกล้หมดเวลา
เราดีใจที่ได้ครอบครองวัตถุ มากกว่าคุณค่าของจิตใจ

แล้วจะทำไงดี
กลับตัวบ้างสิ
เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
คิดให้มากหน่อย
ทำสิ่งที่มีประโยชน์
ยึดความถูกต้อง
เข้าหาพระเจ้าสิ
ให้เวลากับตัวเอง ศาสนา และคนในครอบครัว
บางที กุรอ่าน มัสยิด หนังสือที่ดี อ่านดุอา อิสติฆฟัร
เข้าหาผู้รู้ ปล่อยให้ท้องว่างๆกินน้อยๆ (พอประมาณ)และเพื่อนที่ศอลิหช่วยเราได้...
..........................................................................