หน้าเว็บ

ยินดีต้อนรับสู่สัจธรรมที่แท้จริง



ด้วยพระนามของของฮัลลอฮผู้ส่งเมตตา ผู้ส่งกรุณาปราณีเสมอฮัลฮัมดุลิลาฮมวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิของฮัลลอฮซุบฮานาฮูวาตาอาลา พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งทุกอย่างแห่งสากลโลก ขอฮัลลอฮส่งประทานความจำเริญ มวลแห่งความดีทั้งหลายให้กับผู้ที่แสวงหาความรู้ความโปรดปรานจากพระองค์

ด้วยพระนามของฮัลลอฮผู้ทรงเมตตา กรุณาปราณีเสมอ

อิสลามกับความจริงที่ต้องรู้

16 เมษายน 2553

อุละมาอ์และนักต่อสู้ : มุอ๊าซ อิบนฺญะบัล ผู้นำของผู้รู้ในวันกิยามะฮฺ

ท่ามกลางกระแสการดำเนินชีวิตของมนุษย์เราในยุคโลกาภิวัฒน์นี้ ส่วนใหญ่พวกเขาจะดำเนินไปตามกระแสของสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวน และชักนำไปสู่ความหายนะ ดังนั้นสังคมใดที่มีความห่วงใย เพื่อที่จะให้สมาชิกของตนอยู่ในวงกรอบของอิสลามแล้ว ทุกคนก็จะต้องช่วยกันประคับประคองแนะนำสั่งสอน ช่วยกันชี้แนะกำชับกันให้ทำความดีความชอบ และละเว้นการกระทำความชั่ว ช่วยกันตักเตือนให้รำลึกถึงความตาย ซึ่งเป็นของแน่นอนไม่มีใครกล้าปฏิเสธ

ช่วยกันสั่งเสียให้รำลึกถึงการสอบสวนผลงานของแต่ละคนทั้งความดีและความชั่ว ช่วยกันตักเตือนให้รำลึกถึงสภาพของทุกคนที่จะต้องเผชิญในหลุมฝังศพ กุบูร และวันแห่งการตอบแทน

ชีวประวัติของบุคคลสำคัญชั้นนำผู้นี้ คือสาวกคนหนึ่งของท่านร่อซูล ซึ่งท่านได้ให้การรับรองในการเป็นผู้รู้ที่มีไหวพริบ เฉลียวฉลาด เหมาะสมที่จะเป็นผู้แนะนำสั่งสอนประชาชาติของท่าน อีกทั้งท่านยังมีความเป็นคนหนุ่มที่ทุ่มเทเวลาเพื่อแสวงหาวิชาความรู้

ขอให้เรามาอ่านชีวประวัติของสาวกผู้นี้ คือ..... มุอ๊าซ อิบนฺญะบัล ผู้นำของบรรดาผู้รู้ในวันกิยามะฮฺ

สาวกผู้ยิ่งใหญ่คนนี้คือผู้รู้ทางนิติศาสตร์มุอ๊าซอิบนฺญะบัล เป็นหนึ่งในบรรดาคนหนุ่มชั้นนำของอิสลามเข้ารับนับถืออิสลาม เมื่อครั้งทำสัตยาบันอัลอะเกาะบะฮฺครั้งที่สอง เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด นับได้ว่าเป็นหนุ่มในบรรดาผู้ขยันหมั่นเพียรชั้นนำของอิสลาม หลักฐานที่เป็นเครื่องพิสูจน์ข้อความดังกล่าวนี้ก็คือ เมื่อครั้งที่ท่านนะบี ได้ส่งเขาไปประเทศเยเมน เพื่อสั่งสอนประชาชนในประเทศนั้นเกี่ยวกับเรื่องของศาสนา

ท่านร่อซูล ได้กล่าวถามเขาว่า "ท่านจะตัดสินพวกเขาด้วยอะไร?" เขาตอบว่า "ด้วยกิตาบุลลอฮฺ" ท่านร่อซูล ได้ถามเขาต่อไปว่า "ถ้าหากท่านไม่พบในกิตาบุลลอฮฺเล่า?" เขาตอบว่า "ฉันตัดสินใจด้วยซุนนะฮฺของร่อซูลของพระองค์" ท่านร่อซูล ถามเขาอีกว่า "ถ้าหากท่านไม่พบในซุนนะฮฺของท่านร่อซูลของพระองค์เล่า?" มุอ๊าซตอบว่า "ฉันจะพยายามใช้ความคิดเห็นของฉัน" ท่านนะบี ได้กล่าวว่า "อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ซึ่งประทานความสำเร็จให้แก่ร่อซูลของอัลลอฮฺในสิ่งที่ทำความพอใจให้แก่ฑูตแห่งร่อซูลของอัลลอฮฺ

หะดีสบทนี้เป็นหลักฐานยืนยันให้เป็นที่ประจักษ์แก่เราถึงความมั่นใจของท่านร่อซูล ในความเข้าใจของมุอ๊าซในเรื่องศาสนา และความมั่นใจของท่านในตัวของมุอ๊าซอีกว่า เขา สามารถที่จะกลั่นกรองบัญญัติศาสนาจากกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ เมื่อเขาเผชิญกับปัญหาใดๆ ที่ไม่มีตัวบทชัดแจ้งจากกิตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺของท่านร่อซูล อันนี้นับได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ขยันหมั่นเพียรชั้นนำของอิสลาม

นอกจากนี้ความมั่นใจของท่านร่อซูล อีกประการหนึ่งก็คือ ความเฉลียวฉลาด ความเข้าในปัญหา และความศรัทธาของมุอ๊าซ ในขณะที่เขายังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น เขามิใช่เป็นผู้สูงอายุที่มีชีวิตอยู่นานปี เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้เขามีความเข้าใจและมีประสบการณ์ในการกลั่นกรองบัญญัติศาสนาที่ถูกต้อง เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า มุอ๊าซ เป็นชายหนุ่มผู้มีความรู้เข้าใจในเรื่องศาสนาและเป็นผู้ศรัทธามั่น เป็นที่รักใคร่ของท่านนะบี

วันหนึ่งขณะที่มุอ๊าซนั่งร่วมอยู่ในหมู่ผู้มาร่วมชุมนุมกับท่านร่อซูล ท่านได้กล่าวกับเขาว่า โอ้มุอ๊าซเอ๋ย! ฉันรักท่าน ดังนั้นหลังจากการละหมาดทุกเวลา ท่านอย่าลืมกล่าวข้อความนี้ "โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือข้าพระองค์ ให้รำลึกถึงพระองค์ท่าน และขอบพระคุณพระองค์ท่าน และปฏิบัติอิบาดะฮฺเป็นอย่างดีต่อพระองค์ท่านอยู่เสมอ"

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ความเกรงกลัวและความยำเกรงอัลลอฮฺ ของมุอ๊าซนั้น บรรลุถึงขั้นที่ว่า เขาคาดหวังว่าจะได้พบกับพระองค์ทุกขณะ เขามองเห็นความตายอยู่กับเขาทุกฝีก้าว เขามองเห็นภาพของวันกิยามะฮฺ ภาพของการชำระสอบสวน ภาพของชาวสวรรค์ และภาพของชาวนรก ปรากฏเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าเขาอยู่เสมอ ภาพเหล่านี้ทั้งหมดปรากฏอยู่ในห้วงความนึกคิดของเขาทุกขณะ ขอให้เรามาฟังการสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับท่านร่อซูล ซึ่งจะเป็นที่ประจักษ์แจ้งถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว

เช้าวันหนึ่งท่านนะบี ได้พบกับมุอ๊าซและได้ถามเขาว่า โอ้มุอ๊าซเอ๋ย! เช้าวันนี้ท่านมีความสุขมากน้อยเพียงใด? เขาตอบว่า เช้าวันนี้ฉันมีความรู้สึกเป็นมุอฺมินที่ศรัทธาอย่างแท้จริงครับท่านร่อซูลุลลอฮฺ!

ท่านร่อซูล ได้ถามเขาต่อไปว่าทุกๆความจริงย่อมมีข้อเท็จจริงของมัน ดังนั้นข้อเท็จจริงแห่งการศรัทธาของท่านเป็นอย่างไร? มุอ๊าซได้ตอบว่า เมื่อฉันตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ถึงเวลาเย็น และเมื่อฉันมีชีวิตอยู่ถึงเวลาเย็นฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ถึงเวลาเช้า ฉันไม่เคยก้าวเท้าไป ณ สถานที่ใดก็ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ก้าวเท้าไปอีกหรือไม่? และเสมือนกับว่าฉันได้มองไปยังกลุ่มชนที่อยู่ในสภาพคุกเข่าที่ถูกเรียกไปดูบันทึกของตน และเสมือนกับว่าฉันเห็นชาวสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ในสภาพที่เป็นสุข และชาวนรกอยุ่ในนรกในสภาพที่ถูกลงโทษ

ท่านร่อซูล จึงได้กล่าวกับเขาว่า ท่านรู้จักข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจงยึดมั่นต่อไปเถิด!! นี่คือคุณลักษณะที่แท้จริงของมุอ๊าซอิบนฺญะบัล ชายหนุ่มที่รอความตายอยู่ทุกขณะ มองเห็นสภาพของวันกิยามะฮฺปรากฏอยู่ข้างหน้าของเขา เป็นภาพลักษณ์ที่ประกอบด้วยความโกลาหล และ การชำระสอบสวนของวันนั้น ดังนั้นจึงนับได้ว่าเขาอยู่ในระดับอันยิ่งใหญ่ที่มีความเกรงกลัวอัลลอฮฺ เขามีความเกรงกลัวอยู่เสมอขณะที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าของเขา เขาจะไม่เคลื่อนไหวไปในสภาพใด และจะไม่พูดเป็นคำพูดออกมา เว้นแต่การกระทำของเขานั้นจะเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ ตะบาร่อกะวะตะอาลา

ส่วนมาตรฐานหรือระดับความรู้และความเข้าใจในเรื่องของบัญญัติศาสนานั้น ท่านนะบี เป็นผู้กำหนดและเป็นผู้จัดระดับให้แก่เขา ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ในหะดีสที่ว่า "มุอ๊าซอิบนฺญะบัล เป็นผู้นำของบรรดาผู้รู้ในวันกิยามะฮฺ" เป็นการพอเพียงแล้วมิใช่หรือที่ท่านร่อซูล เป็นผู้ยืนยันและรับรองว่าเขาเป็นผู้นำของบรรดาผู้รู้ในวันอันยิ่งใหญ่คือ วันกิยามะฮฺ

ส ำหรับผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการอมรมในเรื่องของศาสนาที่ได้จัดให้มีขึ้นแต่ละครั้ง จะเห็นได้ว่ามุอ๊าซได้ตอบปัญหาอย่างฉะฉาน เพราะเขาท่องจำอัลกุรอานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังท่องจำหะดีสได้อีกทั้งหมด และสัญชาติญาณที่พรักพร้อมอันเด่นชัดของเขา ได้ช่วยให้เขาได้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องศาสนาด้วยหลักฐานจากอัลกุรอาน หรือซุนนะฮของท่านร่อซูล หรือการให้ความคิดเห็นส่วนตัวของเขา

มีสาวกคนหนึ่งซึ่งได้เข้าร่วมวงฟังการบรรยายทางศาสนธรรมของมุอ๊าซ กล่าวว่า คำพูดที่ออกมาจากปากของเขาเปรียบเสมือนแสงสว่างหรือเสมือนแสงสว่างหรือดวงประทีป ทุกๆคำพูดของเขาได้แผ่รัศมีออกมาด้วยความศรัทธา ความยำเกรง และความเชื่อมั่น

มุอ๊าซได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเยเมนพร่ำสั่งสอน และแนะนำในเรื่องของศาสนาแก่บรรดามุสลิมในประเทศนั้น จนกระทั่ง ท่านร่อซูล ได้ถึงอะญัลของอัลลอฮฺ ณ ขณะนั้นมุอ๊าซจึงเดินทางกลับไปยังนครอัลมะดีนะฮฺ และพำนักอยู่ที่นั่น เพื่อบรรยายสั่งสอนบรรดามุสลิมที่มาร่วมละหมาด ณ มัสยิดอันนะบะวีย์

มุอ๊าซเป็นผู้ที่น่าไว้วางใจและเชื่อถือได้ในด้านที่เกี่ยวกับวิชาความรู้ทางศาสนาผู้ที่ไม่เคยรู้จักเขามาก่อน เมื่อได้ยินได้ฟังบรรยายหรือคำสั่งสอนของเขาจะรู้สึกงงงันหรือเคลิบเคลิ้ม และจะพากันถามว่าชายหนุ่มผู้รอบรู้คนนี้เป็นใคร ซึ่งเขาจะตอบปัญหาและชี้แจงเรื่องต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว และแน่นอน อาอิซ อิบนฺ อับดิลลาฮฺ ได้เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งฉันได้เข้าไปในมัสยิดพร้อมกับบรรดาสาวกบางคนเพื่อทำละหมาด ซึ่งในขณะนั้นอยู่ตอนต้นสมัยของคอลีฟะฮฺอุมัร อิบนฺ ค๊อฏฏ๊อบ ฉันได้พบเห็นชนกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 30 กว่าคน นั่งล้อมวงอ่านหะดีสบทหนึ่งจากท่านร่อซูลุลลอฮฺ และผู้ที่นั่งอยู่กลางวง เป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำ คำพูดหรือคำบรรยายของเขาอ่อนโยนและชัดเจน เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยที่สุด ที่นั่งอยู่กลางวงล้อมของกลุ่มชนนั้น ผู้ใดที่มีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจสิ่งใดเกี่ยวกับหะดีสหรือปัญหาใดๆ ก็จะเข้าไปถาม และหาความกระจ่างจากเขา อาอิซ ได้กล่าวว่า เมื่อการบรรยายได้เสร็จสิ้นลง เขาได้เข้าไปถามมุอ๊าซว่า ท่านเป็นใคร โอ้ยาอับดัลลอฮฺ มุอ๊าซได้ตอบเขาด้วยความถ่อมตนและนอบน้อมว่า ฉันคือมุอ๊าซ อิบนฺญะบัล

อุมัร อิบนุลค๊อฏฏ๊อบ เมื่อประสบกับปัญหาใดๆ ก็จะไปหามุอ๊าซ อิบนฺญะบัล เพื่อให้เขาชี้แจงข้อสงสัยหรือตอบปัญหานั้นๆ เมื่อมุอ๊าซได้ชี้แจงหรือตอบปัญหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อุมัรก็จะกล่าวขึ้นว่า "หากไม่มีมุอ๊าซแล้ว อุมัรจะเสียหายแน่ๆ"

ความเชื่อมั่นหรือการให้เกียรติของอุมัรที่มีต่อมุอ๊าซอย่างมากมาย ถึงขนาดที่ เมื่อผู้ว่าราชการเมืองชามคือ อะบูอุบัยดะฮฺ อิบนิลญัรรอหฺ ได้เสียชีวิตลง อุมัรมิได้ลังเลใจที่จะแต่งตั้งมุอ๊าซเป็นผู้ว่าราชการแทนทันที ยิ่งไปกว่านั้นครั้งหนึ่งมีผู้ถามอุมัร ว่าหากท่านขอร้องพวกเราให้สัตยาบันกับท่าน เพื่อแต่งตั้งค่อลีฟะฮฺแทนท่าน ท่านจะเลือกใคร? อุมัรได้ตอบทันทีว่า หากมุอ๊าซ อิบนฺญะบัล ยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็จะแต่งตั้งเขาอย่างแน่นอน แล้วเมื่อฉันได้ไปหาพระเจ้าของฉัน พระองค์ก็จะถามฉันว่า เจ้าได้แต่งตั้งใครเป็นตัวแทนของประชาชาติมุฮัมมัด ฉันก็จะตอบว่า ข้าพระองค์ได้แต่งตั้ง มุอ๊าซ อิบนฺญะบัล เป็นตัวแทนของประชาชาติมุฮัมมัด เพราะข้าพระองค์ได้ยินท่านนะบี ได้กล่าวไว้ว่า "มุอ๊าซอิบนฺญะบัลคือผู้นำของบรรดาผู้รู้ในวันกิยามะฮฺ"

นอกจากนี้ข้าพระองค์ยังได้ยินท่านนะบี ได้กล่าวไว้อีกว่า มุอ๊าซ อิบนฺญะบัล เป็นผู้มีความรู้ดียิ่งในหมู่ประชาชาติของฉันเกี่ยวกับเรื่องหะล้าล และหะรอม

มุอ๊าซ อิบนฺญะบัลมองเห็นว่า วิชาความรู้อย่างเดียวจะไม่อำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้รู้ แต่จำเป็นจักต้องให้เขานำเอาวิชาความรู้ไปปฏิบัติด้วย และเห็นว่าไม่สมควรที่จะทุ่มเทเวลาเพื่อการทำอิบาดะฮฺเท่านั้น และไม่เห็นด้วยที่จะผินหลังให้กับดุนยา ครั้งหนึ่งมุอ๊าซได้สั่งเสียผู้ที่เข้าร่วมฟังคำบรรยายของเขาว่า "จงถือศีลอด และจงละศีลอด จงทำละหมาด และจงนอนพักผ่อนด้วย จงทำความดีและอย่าทำบาป ท่านอย่าตายเว้นแต่ท่านจะอยู่ในสภาพของการเป็นมุสลิมอย่างแท้จริง และจงระวังการวิงวอนของผู้ถูกข่มเหง"

ทั้งๆ ที่ชื่อเสียงของมุอ๊าซ อิบนฺญะบัล ได้ขจรขจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ในฐานะที่เขาเป็นผู้รู้และมีความเข้าใจในบัญญัติศาสนาอย่างดีคนหนึ่ง กระนั้นก็ดีความตายซึ่งเป็นของแน่นอนที่สุดได้มาเยือนเขาอย่างกระทันหัน ซึ่งเขาได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว โดยเขามีอายุเพียง 33 ปี และประวัติศาสตร์ได้บันทึกความดีและกิจกรรมที่ดีๆ ของเขาไว้ ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนที่ดีแก่เราท่านทั้งหลายได้เป็นอย่างดี

02 ธันวาคม 2552

เกียติของความเป็นมุสลีมะห์


السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته

พี่น้องผู้ศรัทธาและรักเกียรติของความเป็นมุสลีมะห์ทั้งหลายครับ

หาก เราจะกล่าวถึงหลักฐานเจาะจงถึงการเล่นไฮต์ไฟล์หรือการโพสรูปไปยังเว็บบอร์ ดต่างๆของสตรีมุสลีมะห์หรือมุสลีมีนทั้งหลายนั้น ก็คงมิอาจที่จะทราบถึงหลักฐานข้างต้นเป็นแน่ครับ ก็ในเมื่อสมัยของท่านรอซูล(ซ.ล) สิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำไป
แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น อัลลอฮ(ซ.บ)ก็ทรงรู้และทรงทราบว่า อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และคำกล่าวใด อายะฮใดที่จะทำให้ผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์นั้นได้ยึดถือ ได้นำมาปฏิบัติเพื่อมิให้คำกล่าวที่ว่า ฉันเป็นมุสลิม ฉันเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮและรอซูล นั้นเสื่อมลงและเสียไปซึ่งการศรัทะดังกล่าวครับ ดังนั้น

หากเราจะพูด ถึงการการอวดโฉม คือ การเปิดเผยส่วนที่สวยงามและเสน่ห์ของใบหน้า หรือการมองของบุรุษชายและหญิงเอย นั้นก็คงจะหนีไม่พ้นถึงหลักฐานโดยอ้อมถึงการอวดโฉมดังกล่าวเช่น

1.อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์อันนูร อายะฮที่ 30 ซึ่งมีใจความว่า

“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)แก่บรรดามุอฺมินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ"

2.อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อันนูร อายะฮที่ 31 ซึ่งมีใจความว่า

" และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮ์ ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่แก่สามี ของพวกเธอ หรือบิดาของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายของสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอเพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิด ในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ

--------------------------------------------------------------------------------
3.อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์อัลอะซาบ อายะฮที่ 33 ซึ่งมีใจความว่า

“และ จงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเจ้า และอย่าได้โอ้อวดความงาม(ของพวกเธอ)เช่นการอวดความงาม(ของพวกสตรี)แห่งสมัย งมงายในยุคก่อน และจงดำรงละหมาดและจ่ายซะกาตและจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์อัล ลอฮฺเพียงต้องการขจัดสิ่งโสโครกออกไปจากพวกเจ้าโอ้สมาชิกของวงค์ตระกูล(นะ บี)เอ๋ยและทรงประสงค์ที่จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์”

และที่ ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า " การมองสตรีโดยมิได้ตั้งใจถือว่าไม่มีความผิด แต่หากมองซ้ำอีก (เป็นครั้งที่สอง) ถือว่ามีความผิด " (บันทึกโดยติรมิซีย์)

อีกหะดีษบทหนึ่งท่านรสูลุลลอฮฺกล่าว ว่า " การทำซินา (การละเมิดประเวณี) ทางสายตา คือการมอง(สิ่งหะรอม) " (บันทึกโดยติรมิซีย์)

หรือที่ ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า "ดวงตาทั้งสองทำซินา กล่าวคือ การทำซินาของดวงตา คือการมอง" (บันทึกโดยบุคอรีย์)
จากอัลกุรอานและหะดีษข้างต้น นั่นก็เป็นการบ่งชี้ว่า ศาสนาไม่อนุญาตมองเพศตรงข้าม และให้เขาผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น ลดสายตาตัวเองต่ำ

อย่า ว่าถึงการโพสรูปไปยังสาธารณะชนเพื่อให้ใครก็ไม่รู้ เขาเห็น เขาวิจารย์ เขามอง เขาสัมผัสด้วยทางหนึ่งทางใดเลยนะครับ แม้กระทั่งการมองหน้าเพศหญิงศาสนายังอนุญาตให้มองเพียงครั้งแรกเท่านั้น หากมองซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองก็ถือว่ามีความผิด (นักวิชาการลงความเห็นว่า หากมองครั้งแรกแต่มองนาน เช่นนี้ก็ถือว่ามีความผิดเช่นกัน)
ฉะนั้น

เรื่อง เอาเราะห์ระหว่างชายและหญิงหรือใบหน้าชายและหญิง ศาสนามิได้พิจารณาว่า เขาจะโพสไปทางใด เขาจะแสดงออกในรูปแบบไหน แต่ศาสนาพิจารณาถึงการแสดงออกซึ่งการเคลื่อนไหวร่างกายของคนที่มอง คนที่แสดง คนที่โพสและคนที่
เป็นต้นเหตุของการมองต่างหาก ว่า เขามองอย่างไร เขาโพสทำไม เขาอวดโฉมทำไมแล้วสิ่งที่มอง สิ่งที่อวดโฉมนั้น อวดเพื่อใคร มองเพื่ออะไร มีความจำเป็นไหมที่ต้องมอง

ดังนั้น
หาก จะถามว่า การชมผ่านทีวี นักข่าว, ที่สถานศึกษา ครูบาอาจารย์, เพื่อนร่วมชั้น, เจ้านายผู้หญิง, เพื่อนร่วมงานหญิง หรือการโพสรูปเพื่อให้ใครอื่นเขามอง เขาเห้น เขาสัมผัส เขาวิจารย์ ต่าง ๆ เหล่านี้ หากเป็นการมองโดยขาดความจำเป็นที่ต้องมองและขาดซึ่งความตักวาภายในจิตใจที่ อัลลอฮสั่งใช้ให้มีการลดสายตา ดังนี้ แน่นอนการมองดังกล่าวเป็นสิ่งที่ฮารอมดั่งอัลกุรอานและหะดิษข้างต้นที่กล่าว ไว้

แต่หากการมองดังกล่าวที่ไม่ใช่การมองไปยังรูปที่โพสอยู่ตามไฮ ไฟล์ หรือเป็นกรณีจำเป็นที่ต้องการสอบถามเพื่อการรับรู้ซึ่งเรื่องราวศาสนา จากบรรดาผู้รู้ก็ดี หรือมีความจำเป็นที่จะมองในเรื่องอื่นๆเพื่อได้พูดคุยสอบถามในเรื่องราว วิชาการศึกษาจริงๆและเราไม่สามารถที่จะสอบถามเพศเดียวกันแล้ว ดั่งกล่าวนี้ ศาสนาก็อนุโลมได้แต่อย่าให้เกิดซึ่งฟิตนะฮทางความรู้สึกหรือจิตใจก็แล้วกัน
วัสลามูอาลัยกุม วาเราะฮฺมาตุลลอฮฺ วะบะรอฮฺกาตุฮฺ

18 พฤศจิกายน 2552

โอ้...เยาวชนแห่งสัจธรรม

เป็นที่ประจักษ์แก่เราทุกยุคทุกสมัยและทุกสังคมแล้วว่า เยาวชนคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สังคมมากที่สุด เพราะวัยของเขาคือวัยแห่งความเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจ วัยของเขาเป็นวัยแห่งพลัง พวกเขามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่พวกเขาต้องการ หากใครได้ครอบครองหัวใจหรือได้เป็นผู้นำของเขา แน่นอน ชัยชนะหรือการบรรลุสู่ความสำเร็จต่อการงานที่พวกเขาต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ดังที่เราเห็นในทุกวงการทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือศาสนาก็ตาม ดังนั้นเราจะเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ต้องการมีอิทธิพลต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น เขาจะต้องได้รับความร่วมมือจากพลังมวลชนที่เข้มแข็งนี้เพื่อจะทำให้เขาบรรลุสู่ความต้องการของเขา เพราะฉะนั้น เยาวชนจึงเป็นกลุ่มเป้าหมายของผู้ที่หวังจะประสบความสำเร็จในกิจการของเขา แต่ ! น่าเศร้าที่ปัจจุบันนี้เยาวชนส่วนมากได้ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีทั้งหลาย

แต่ สำหรับเขา “เยาวชนแห่งสัจธรรม” พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยพลาดพลั้งหรือไม่เคยยอมจำนนต่อการชักจูงของผู้ไม่หวังดีเหล่านั้นเลย เพราะเขารู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของเขา การกระทำของเขา การตายของเขา ทุกอย่างในชีวิตของเขานั้นพลีเพื่ออัลลอฮเท่านั้น เพราะเขามั่นใจต่อสัญญาของอัลลอฮที่พระองค์จะตอบแทนต่อการพากเพียรของเขา และเขาคือกลุ่มชนที่อัลลอฮจะยกย่องสรรเสริญพวกเขา ดังที่อัลลอฮกล่าว ความว่า ““เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่เขา และเราได้ให้ความเข้มแข็งแก่หัวใจของพวกเขา ขณะที่พวกเขายืนขึ้นประกาศว่าพระเจ้าของเราคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน เราจะไม่วิงวอนพระเจ้าอื่นจากพระองค์ มิเช่นนั้นเราก็กล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอน”” ซูเราะฮอัลกะฮฟ อายะฮ 13-14

นอกจากนั้นท่านนบียังได้ย้ำถึงวัยของพวกเขาว่าจะเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญ เขาควรที่จะขวนขวาย ควรที่จะปฏิบัติในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตในอาคิเราะฮของเขา ก่อนที่เขาจะไม่สามารถที่จะทำอะไรและที่สำคัญอัลลอฮจะสอบสวนว่าเขาได้ใช้มันไปอย่างไร ดังหะดีษที่ท่านนบีกล่าวว่า “สองเท้าของบ่าวคนหนึ่งจะไม่เคลื่อนในวันกิยามะฮ จนกว่าเขาจะถูกถาม 4 เรื่อง เกี่ยวกับอายุของเขาที่เขาได้ใช้หมดไป เกี่ยวกับวัยหนุ่มสาวที่เขาได้ใช้ไป เกี่ยวกับการกระทำของเขาที่ได้ทำไป เกี่ยวกับทรัพย์ของเขาที่เขาได้ขวนขวายมาแล้วได้จ่ายไป” บันทึกโดยอิหม่ามติรมีซีย์ และ “จงฉกฉวยโอกาสเอา 5 ประการแรกนี้ไว้ ก่อนที่ 5 ประการหลังจะมีมา คือ 1.ความหนุ่มความสาวของท่านก่อนวัยชรา 2.สุขภาพที่ดีของท่านก่อนความเจ็บป่วย 3.ฐานะที่ดีของท่านก่อนความยากจน 4.การมีชีวิตอยู่ของท่านก่อนความตาย 5.การมีเวลาว่างของท่านก่อนที่ท่านจะมีงานยุ่ง” รายงานจากอิบนุ อับบาส บันทึกโดยอัลฮากิม

ดังนั้น เยาวชนในปัจจุบันควรที่จะศึกษาว่า เยาวชนยุคก่อนหน้าพวกเราว่าเขาทำอะไร พวกเขาได้สร้างสรรค์สังคมอย่างไร พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาได้เสียสละต่อศาสนาของพวกเขาอย่างไร เพราะสิ่งนี้จะทำให้ท่านได้รู้และตระหนักว่าบทบาทหน้าที่ของท่านนั้นคืออะไร และจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่พวกเราได้ทำหน้าที่นั้น ดังเช่นที่คนก่อนหน้าพวกเราได้ทำมาแล้ว

โอ้เยาวชนแห่งสัจธรรมทั้งหลาย จงมาดูเถิดว่า เยาวชนแห่งสัจธรรมที่แท้จริงที่ได้รับการสรรเสริญที่ได้รับการยกย่องจากอัลลอฮ รซูลและบรรดาผู้ศรัทธานั้น เขามีการงานที่ดีอย่างไร ด้วยหวังว่าเราจะได้เป็นเช่นพวกเขาบ้าง อามีน


ญะซากุมุลลอฮุคอยร็อน : ฟิตยะตุลฮัก

05 พฤศจิกายน 2552

เกือบจะถึงลมหายใจสุดท้าย


อัลฮัมดูลิลลาฮฺกับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้กับบ่าวของพระองค์ผู้นี้อย่างเหลือคณานับ ทุกอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เว้นแต่เป็นสิ่งอนุมัติจากพระองค์ นับเป็นหนึ่งความเมตตาอย่างเหลือล้นกับสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้บ่าวผู้นี้ในเดือนร่อมาฎอนอันทรงเกียรติปี ฮ.ศ.1430นี้ ช่วงร่อมาฎอนที่เพิ่งผ่านมานี้เป็นร่อมาฎอนที่แปลกพิเศษที่สุดในชีวิตตัวเองที่ผ่านมา ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วยที่หนักที่สุดเท่าที่เคยได้สัมผัส(อัลฮัมดูลิลลาฮฺ) และช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง ทำให้มีอะมานะฮฺอันนึงที่ตัวเองได้บอกกล่าวกับอัลลอฮฺในช่วงหนึ่งขณะเจ็บป่วยนั้น ว่าจะบอกเล่าต่อแก่พี่น้องหากมันจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องให้มากที่สุด (เท่าที่พระองค์ให้ความสามารถ)
ณ ช่วงเวลาที่ได้รักษาตัวที่โรง พยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยอาการไข้สูง เจ็บคอ ไอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตัว เจ็บหู และปวดหัวจี๊ดๆ(เป็นบางช่วง) หนาวสั่น และอ่อนแรง อาการดังกล่าวอาจไม่รู้สึกทรมานอะไร หากมันไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน แต่เมื่อรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาก็มักจะคอยบอกกล่าวกับตัวเองอยู่เสมอว่า ”อดทน อดทน อัลลอฮฺกำลังลบล้างความผิดให้กับเราอยู่ ” “อัลลอฮฺรักเราอัลลอฮฺจึงทดสอบเรา” ก่อนหน้านี้เคยแอบอิจฉาพี่น้องที่ได้รับความเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ เพราะรู้สึกว่าทำให้เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น ทำให้เขาได้รู้จักอดทน (“และอัลลอฮฺก็จะทรงอยู่กับบ่าวที่อดทน” ) สิ่งต่างๆเป็นไปตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ทำให้ตัวเองมีกำลังใจดีขึ้น และเนื่องด้วยเพราะได้รับกำลังใจจากคนรอบๆตัวและวงกว้างออกไป หลังจากนั้นอาการต่างๆก็เริ่มดีขึ้นมาจากวันที่ทรุดหนัก หลังจากที่หมอทำการวินิจฉัยโรคและทำการรักษาด้วยวิธีให้ฉีดยาฆ่าเชื้อ(ไปเกือบสิบขวด) และกินยา ซึ่งการกินยาเป็นอีกสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยอย่างมาก จำต้องกินยาหลายๆเม็ด บางเม็ดก็ใหญ่บะเริ่ม(แต่คนอื่นว่าเล็ก) โดยปกติแล้วเป็นคนไม่ชอบกินยามาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย เลยทำให้ต้องรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งนี้ จากนั้นก็ทำการรักษาเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ไข้ลดลงเป็นปกติ หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ พร้อมกับมียาติดไม้ติดมือกลับไปกินต่อ ...
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ก็มาพักฟื้นต่อที่หอพัก สามสี่วันจากนั้นมีเหตุทำให้ต้องกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยอาการมึนเวียน หน้ามืด และอาเจียรทุกวัน ตอนนั้นกำลังสงสัยตัวเองว่ามีอาการแพ้ยา เลยกลับไปยังโรงพยาบาลเดิมในช่วงกลางคืน จากนั้นก็เข้าพบหมอในห้องฉุกเฉิน หลังจากหมอซักประวัติเสร็จ หมอก็วินิจฉัยว่า อาจเป็นอาการแพ้ยา แล้วหมอก็ถามต่อว่า แล้วจะให้หมอฉีดยามั้ย? หรือจะเอายาไปกิน? เลยรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “ฉีดค่ะ” (เนื่องจากไม่ชอบกิน) หมอจึงสั่งพยาบาลให้ฉีดยาเข็มนึงซึ่งผสมด้วยตัวยาสองตัว พยาบาลบอกให้นอนบนเตียงในห้องฉุกเฉิน ที่ปิดรอบเตียงด้วยผ้าม่าน ซึ่งบรรยากาศในห้องนี้เต็มไปด้วยความ วุ่นวาย และเสียงดังโหวกเหวกมาก มีทั้งคนเพิ่งถูกรถชน คนเมาเหล้าประสบอุบัติเหตุ คนใส่เครื่องช่วยหายใจ เสียงพยาบาล และเสียงญาติผู้ป่วยที่มาโวยวาย หลังจากที่พยาบาลสั่งให้เหยียดแขนและกำมือ จากนั้นพยาบาลก็ฉีดยาเข็มนั้นเข้าไปในเส้นเลือดแขนข้างขวาเข้า แล้วก็เดินจากไป ในช่วงแวบนั้นที่ยาฉีดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกซ่าวืดไปทั้งตัว รู้สึกจะอาเจียรขึ้นมา และหายใจไม่ออก เลยพยายามจะยกตัวขึ้น และพยายามจะเปล่งเสียงเรียกพยาบาลที่กำลังยืนหันหลังพูดคุย กันอยู่ตรงหน้า ซึ่งห่างออกไปสักระยะ เรียกอยู่สามสี่ครั้งได้ พยาบาลจึงหันมา และเอากระโถนมาให้ แต่แม่ที่อยู่โต๊ะหมอ ซึ่งห่างไกลออกไปตั้งเยอะ ได้ยินเสียงเรียกลูก และวิ่งมาถึงที่เตียงพร้อมๆกับพยาบาล ตอนนั้นแม่บอกว่าหน้าลูกหน้าซีดเหมือนไม่มีเลือด ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทั้งมือและขา มือและตัวเย็บเฉียบ ไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงที่จะกำมือ รู้สึกหนาวสั่น และรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก เอ่ยถามแม่ที่ยืนอยู่ข้างหัวทีละ คำว่า “ทำไมถึงไม่แรงเลย หายใจไม่ค่อยออกด้วย” แม่เริ่มเสียงสั่น และวิ่งออกไปตามหมอมาดู บอกให้ดูลูกหน่อยว่าเป็นอะไร หมอและพยาบาลยืนมองนิ่ง ทำหน้าเหมือนให้คำตอบอยู่ตรงนั้นทั้งคู่ว่าไม่รู้เหมือนกัน จนแม่ดูท่าเหมือนหมอเองก็จะช่วยอะไรไม่ได้ เลยยืนจับมือแน่น และบอกด้วยเสียงอันสั่นๆให้นึกถึงอัลลอฮฺ บอกว่าอัลลอฮฺอยู่กับเรา และบอกให้กล่าวชาฮาดะฮฺอยู่ไม่หยุด
ในช่วงเวลานั้นก็ทำตามที่แม่บอก กล่าวชะฮาดะฮฺออกมาทีละคำๆด้วยกับน้ำตาและแรงหายใจที่รู้สึกว่ามีอยู่เล็กน้อย พยาบาลและหมอก็ยืนมองอยู่ตรงมุมเดิม ในช่วงเวลาที่นอนกล่าวชาฮาดะฮฺอยู่นั้น หัวใจสั่นระรัวนึกถึงแต่เพียงอัลลอฮฺและความตาย ในช่วงแรกหัวใจสั่นวุ่นวาย รู้สึกตกใจกลัว นี่จะถึงเวลาตายของเราแล้วใช่มั้ย ในช่วงแวบเดียวกันนึกถึงความดี-ความชั่วในอดีต ถึงนึกสวรรค์-นรก นึกว่าถ้าเราตายตอนนี้อะไรคือสิ่งที่อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนให้กับเราในอาคิเราะฮฺ และนึกถึงชีวิตแห่งหลุมฝังศพ รู้สึกกลัวอยู่ได้พักหนึ่ง สักครู่เดียวก็มีความคิดหนึ่งซึ่งขัดแย้งกับความรู้สึกเดิมเกิดขึ้นมา ซึ่งเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า แต่เราต้องพร้อมที่จะตายอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรอ ไหนเราเคยบอกกับคนอื่นๆว่าเราต้องพร้อมที่จะตายอยู่เสมอในทุกๆวินาทีทุกๆเวลา แล้วทำไมเราถึงต้องกลัวที่จะตายอีก เราต้องไม่กลัวสิ เราต้องพร้อมที่จะตาย เราต้องยอมรับในสภาวการณ์ของพระองค์สิ ทำไมเราต้องกลัวด้วย หากมันเป็นความประสงค์ของอัลลอฮฺก็ไม่มีอะไรขวางกั้นได้ทั้งนั้น นี่เราอายุยี่สิบเอ็ดเองเนอะเราก็ต้องตายแล้วหรอนี่ แต่หากพระองค์ทรงประสงค์ให้เราตายตอนไหนเราก็ต้องตาย ความคิดโจมตีตัวเองเข้ามาในหัวอยู่ไม่หยุด แต่ก็บอกกับพระองค์อีกว่าหากพระองค์ทรงให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เราจะพยายามเป็นบ่าวที่ดีที่สุดให้ได้ หลังจากนั้นก็ขอดุอาอฺ ขออภัยโทษต่อพระองค์อยู่ในใจ ช่วงเวลาเดียวกันก็พยายามจะหายใจให้อยู่รอดให้ได้ต่อไป พร้อมกับปากที่กล่าวชะฮาดะฮฺ และพยายามจะขยับมือขยับขาให้ได้ไปพร้อมๆกัน เพื่อประทังชีวิตตัวเองไว้ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองยังมีเรี่ยวแรงอยู่ แต่ในใจก็นึกถึงแต่พระองค์ ขออภัยโทษและขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ เพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกสิ่ง นอนอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เมื่อหัวใจสามารถทำใจที่จะตายได้แล้วทำให้หัวใจเริ่มสงบ แต่ก็ยังมีแฝงด้วยความกลัวอยู่บ้าง ที่ยังไงก็ไม่สามารถขจัดไปให้หมดได้ในช่วงเวลานั้น ตามองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังตรงปลายขาเตียง วินาทีไหนน่ะที่พระองค์จะทรงเอาวิญญาณเรากลับไปยังพระองค์ นอนทำใจและปากกล่าวชะฮาดะฮฺอยู่ตลอด ไม่มีใครสามารถรู้ได้ถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นที่อยู่ในหัวใจเราได้เลยจริงๆเว้นแต่อัลลอฮฺ แม้กระทั่งแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆตัวเราในขณะนั้นก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าหัวใจเรารู้สึกยังไง ถึงแม้ว่าขณะที่เล่าออกไปให้ใครฟังก็ตาม ก็เชื่อได้ว่าไม่มีใครอาจสัมผัสความรู้สึกในวินาทีนั้นได้อย่างถึงใจจริงๆ มันน่ากลัวมากกับห้วงเวลาที่คิดว่ามันเกือบจะถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเราแล้ว มันต่างกันอย่างลิบลับกับช่วงเวลาที่เรานึกถึงความตายในช่วงปกติจนทำให้เรารู้สึกกลัว ร้องไห้ เพราะขณะนั้นในใจลึกๆแล้วเราไม่ได้รู้สึกจริงๆว่าตัวเราจะต้องตายในวินาทีนั้นเหมือนกับที่ประสบอยู่นี้
เมื่อหัวใจสงบลง ความวุ่นวายหายไป และสักพักหนึ่ง แม่ก็พูดอย่างมีความหวังขึ้นมาว่า หน้าลูกเริ่มมีสีขึ้นมาบ้างแล้ว และตอนนั้นรู้สึกได้ว่าลมหายใจเริ่มเข้ามาในปอดตัวเองมากขึ้น แต่มือและขาก็ยังคงอ่อนเรี่ยวแรงอยู่ พยายามนอนนิ่งทำใจให้สงบลงและยอมรับในทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ด้วยสายตาที่ยังคงมองไปยังเข็มนาฬิกาที่เดินหมุนไปในทุกวินาที พลางรอวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ แต่เมื่อนอนอยู่อย่างสงบพักหนึ่งก็รู้สึกเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมา สามารถขยับมือเองได้บ้างแล้ว แม่ยิ้มดีใจและมีความหวังขึ้นมา ถามว่าพอจะไหวแล้วใช่มั้ย ก็พยักหน้าตอบรับไปเพื่อความสบายใจของแม่ ทั้งที่ตอนนั้นยังรู้สึกว่าขายังคงอ่อนแรงยังไม่สามารถขยับได้อีก สักพักใหญ่ๆรู้สึกหายใจได้มากขึ้น และสามารถขยับมือ ขยับขาได้บ้างแล้ว พอดีกับหมอเดินมาถามว่า จะนอนโรงพยาบาลอีกสักคืนมั้ย เพื่อหมอจะได้สังเกตอาการ แต่ในใจตอนนั้นก็คิดว่า ขอกลับดีกว่า เพราะหากถึงเวลาที่เราต้องตายจริงๆ ถึงยังไงมนุษย์คนใดก็มิอาจขวางกั้นพระประสงค์ของอัลลอฮฺได้อย่างแน่นอน ถ้าจะต้องตายก็ไม่อยากตายในสภาพบรรยากาศห้องฉุกเฉินอันวุ่นวายนี่หรอก จึงบอกแม่ว่าขอกลับดีกว่า . . .
จากนั้นมาพระองค์ก็ทรงให้เราได้มีลมหายใจจวบจนวันนี้วินาทีนี้ นับได้ว่าเป็นกำไรของชีวิตอย่างมากที่พระองค์ทรงเมตตาให้ได้ลิ้มรสช่วงเวลาดังกล่าว ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ใจเสียอยู่สักพักใหญ่ๆก็ตาม แต่มันคุ้มค่ามากต่อการได้เตือนสติตัวเองและพี่น้องให้ต้องระลึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ให้ต้องพร้อมที่จะตายอยู่ทุกขณะและทุกสภาพ หากเมื่อใดถึงเวลาที่เราจะต้องกลับคืนสู่อัลลอฮฺผู้สร้างเรา เมื่อนั้นเราก็ต้องพร้อมที่จะกลับไปสู่พระองค์ โดยที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าหากเราตายในวินาทีใดนั้น หนทางในอาคิเราะฮฺของเราจะเป็นเช่นใด เราไม่อาจรู้ถึงน้ำหนักของสมุดบัญชีข้างซ้ายและข้างขวาได้ในตอนนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่าการงานใดบ้างที่พระองค์ทรงตอบรับและไม่ตอบรับ แต่สิ่งที่ทำได้ในขณะที่เรายังมีชีวิตและมีลมหายใจอยู่ตอนนี้ก็คือ ทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ผู้สร้างเรา “แท้จริงแล้วชีวิตเราเป็นของพระองค์ และแน่แท้เราจะต้องกลับไปยังพระองค์”

สัญญาณแรกของกิยามะฮฺและความต่อเนื่อง


- วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺวาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า«يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا»ความว่า “มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง” (อัล-อะหฺซาบ : 63)- สัญญาณวันกิยามะฮฺท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่- หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺแบ่งออกเป็นสามประเภท1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์ การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซจากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ : مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ بَيْتِ المَقْدِسِ ... »ความว่า “ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่ ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้ สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าวจากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า«أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ »ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก) แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก) จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์” (แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก - ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลกสัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม- สอง สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺจากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าاطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ : «مَا تَذَاكَرُونَ؟» قَالُوا : نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ : «إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ - فَذَكَرَ - الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ، وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ : خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ، وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ إِلَى مَحْشَرِهِمْ»ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม : 2901)1. การปรากฏตัวของดัจญาลดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่ (เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่ ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ) แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมดจากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าكُنَّا قُعُودًا عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ، فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ، فَقَالَ قَائِلٌ : يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ : «هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ، ثُمَّ فِتْنَةُ السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ ، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ : انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ يُصْبِحُ الرَّجُلُ فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ ، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ»ความว่า “พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม) หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่) จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้ เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“ (หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด : 6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)- ฟิตนะฮฺของดัจญาลการปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม) นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้ ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี 1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์- คุณลักษณะของดัจญาลท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษจากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า«إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ ، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ ، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ بِأَعْوَرَ»ความว่า “แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)- สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัวจากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า« ... إِنَّهُ خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً»ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม : 2937)- สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لَيْسَ مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ وَالْمَدِينَةَ»ความว่า “ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม : 2943)จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า«وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصى»ْความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2934)- สาวกของดัจญาลสาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า«يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ»ความว่า “จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน) จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)” (มุสลิม : 2944)- การป้องการภัยจากดัจญาลภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน ดังในหะดีษ«مَنْ حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ مِنَ الدَّجَّالِ»ความว่า “ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”وفي لفظ : «فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ الْكَهْفِ»อีกสำนวนหนึ่ง “ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ” (มุสลิม2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัมหลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่านจากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขาจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ ، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ ، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا»، ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله عنه : وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ «وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا» (النساء/159)ความว่า “ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน” จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..«وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا»ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)(หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม : 155)3. ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า«حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ»ความว่า “จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (อัล-อันบิยาอ์ : 96)2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า«إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى : إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ ، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ ، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ : لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ»ความว่า ”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้ ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง” (มุสลิม : 2937)หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบการเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น7. ควันไฟ«فَارْتَقِبْ يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ»ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน : 10-11)จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า«بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا : طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ»ความว่า “พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้) หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย) หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)” (มุสลิม : 2947)8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้«يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا إِنَّا مُنْتَظِرُونَ»ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม : 158)จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ فَيَوْمَئِذٍ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ : 4635, มุสลิม : 157 สำนวนเป็นของท่าน)จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า«إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً»ความว่า “เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน” (มุสลิม : 2942)9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า«وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ»ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ : 82)จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«ثَلاَثٌ إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا : طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ الأَرْضِ»ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม : 158)10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน) จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชามลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ : رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ، اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا»ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย” (อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม : 2861)สัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺจากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าแท้จริง เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สลาม เข้ารับอิสลาม เขาได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงปัญหาต่างๆ ส่วนหนึ่งของคำถามที่ท่านถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คืออะไรคือสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ? ท่านตอบว่า«أَمَّا أَوَّلُ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ فَنَارٌ تَحْشُرُ النَّاسَ مِنَ المَشْرِقِ إِلَى المَغْرِبِ»ความว่า “ส่วนสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺคือมีไฟออกมาไล่ตอนมนุษย์จากทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตก” (อัล-บุคอรีย์ : 3329)สัญญาณต่างๆ จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺเริ่มปรากฏขึ้น สัญญาณอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังหะดีษต่อไปนี้1- อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«الأَمَارَاتُ خَرَازَاتٌ مَنْظُوْماَتٌ بِسِلْكٍ، فَإِذاَ انْقَطَعَ السِّلْكُ تَبِعَ بَعْضُهُ بَعْضاً»ความว่า “การปรากฏของสัญญาณต่างๆ นั้นเปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยสายเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆ กัน” (อัล-หากิม : 8639, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1762)2- จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى لاَ يُقَالَ فِي الأَرْضِ : اللَّهُ ، اللَّهُ»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่าในพื้นพิภพนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (มุสลิม : 148)3- จากหุซัยฟะฮฺ บิน อัลยะมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า«لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَكُونَ أَسْعَدَ النَّاسِ بِالدُّنْيَا لُكَعُ بْنُ لُكَعٍ»ความว่า “วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่า ลุกะอฺ บุตรของลุกะอฺ จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก(เป็นการเปรียบเทียบว่า คนไม่มีความรู้ด้อยปัญญาจะขึ้นเป็นผู้ปกครอง)” (อัต-ติรมิซีย์ : 2209, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1799)

04 พฤศจิกายน 2552

ขอให้เป็นฉันกับเธอ


ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกับใครสักคน ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจกับใครสักคนทั้งเธอและฉันย่อมมีสิทธิเลือก . . . ใครคนนั้นของกันและกันอิสลามไม่ได้ทอดทิ้งเรื่องนี้
แต่ได้เสนอรายละเอียดไว้แล้วมากมายละเอียดอ่อน กว้างขวาง รอบคอบดังนั้น หากเธอจะเลือกใครสักคนซึ่งอาจมีคุณสมบัติตามที่อิสลามแนะนำอยู่บ้าง
ก็ ขอให้เป็นฉันเถิด ถ้าเป็นไปได้และหากฉันจะเลือกใครสักคนซึ่งมีคุณสมบัติตามที่อิสลามและนำอยู่บ้างก็ ขอให้เป็นเธอเถิด.....ที่ระลึก
รักเธอเพื่ออัลลลอฮฺ
. . . ให้เจ้าสาวของฉันเป็น . . .
ภรรยาที่ศรัทธาในอัลลอฮฺ รักอัลลอฮฺยิ่ง เหนือสิ่งอื่นใดมากกว่าบิดา มารดามากกว่าสามี และลูกๆภรรยาที่รักท่านร่อซู้ลปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านเจริญรอยตามวิถีชีวิตของบรรดาอุมมะฮาต อัล-มุอฺมีนีน“มารดาแห่งเหล่าศรัทธาชน”ภรรยาที่รักชีวิตและครอบครัวมีความเป็นกุลสตรีต้องการเป็นแม่บ้านที่ดีด้วยเหตุที่เธอรู้ว่า . . . นั่นคือการญิฮาดของเธอภรรยาที่ศึกษาอัลกุรอานและใช้ชีวิตไปตามครรลองของอัล-กุรอานเพื่อที่เธอจะได้เป็นแม่บ้านที่ดีเป็นที่สุขตา สุขใจของฉันตลอดการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพราะฉันรู้ดีว่า อัล-กุรอานจะขัดเกลาให้เธอเป็น หญิงที่ประเสริฐ เป็น ภรรยาที่น่ารัก เป็น แม่ที่รู้จักเลี้ยงลูก เป็น ผู้ที่ผูกสายสัมพันธ์ของครอบครัว
เธอรู้ไหม . . . ท่านรอซู้ลกล่าวถึงพวกเธอไว้อย่างไร ท่านบอกว่า . . . ดุนยาล้วนเต็มไปด้วยความสุขสันต์ แต่สุดยอดของความสุขสันต์บนโลกดุนยานี้คือภรรยา ที่ดี ใช่แล้ว . . . ภรรยาที่ดี คือความใฝ่ฝันของผู้ชายผู้ศรัทธาทุกคน คือเจตจำนงของ อัล-อิสลาม ภรรยาที่มอบสิทธิความเป็นผู้นำให้กับสามี เพื่อจัดวางระบบครอบครัวให้มีระเบียบมีผู้นำ มีผู้ตามอัลลอฮฺตรัสว่า“ บรรดาชายนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคนและด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา”(อัล-กุรอาน ๔:๓๔)ท่านรอซู้ลยังได้กล่าวว่า“เพียงแค่นางละหมาดครบ ๕ เวลาถือศีลอดในเดือนรอมฎอนรั กษาพรหมจรรย์ของนาง และเชื่อฟังสามีของนาง นางจะเข้าสวรรค์จากประตูใดก็ได้ ตามที่นางต้องการ”ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมการที่เธอจะได้เป็นหนึ่งจากชาวสวรรค์จงภูมิใจเถิดที่เธอจะได้เป็นผู้ทวนกระแสในวจนะที่กล่าวว่าในนรกจะมีสตรีมากกว่าบุรุษการเป็นภรรรยา สตรีทุกคนทำได้แต่การเป็นภรรยาที่ดี . . . สตรีผู้ศรัทธาเท่านั้นที่ทำได้พราะเธอมีอัล-กุรอาน และฮาดิสเป็นธรรมนูญเธอจึงเป็นภรรยาที่สามีมองแล้วเย็นตาเย็นใจฟังเสียงแล้วรื่นรมย์ได้กลิ่นแล้หอมหวานสัมผัสแล้วอ่อนโยนคิดถึงแล้วสุขใจธอจึงเป็นภรรยาที่ทำให้สามีรู้สึกว่าตัวเอง คือ ผู้มีความสุขที่สุดในโลกอิสลามสอนให้สามีต้องเป็นคน “ขี้หึง”เปล่า . . . ไม่ใช่หึงแบบไม่มีเหตุผลหรือตามอารมณ์อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจแต่มันคือความหึง . . . หวง . . . และห่วงใยยอมไม่ได้ที่เธอจะผิดหลักการดังนั้น ขอเธอจงละหมาดครบ ๕ เวลาขอเธอจงคลุมหิญาบขอเธอจงอย่าสนทนาหรือให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านขอเธอจงอย่าออกจากบ้านโดยสามีไม่รับรู้ขอเธอจงอย่าเอ่ยถึงชาอื่นต่อหน้าสามีขอเธอจงอย่าแต่งตัวสวย นอกจากเพื่อฉันเท่านั้นโปรดอย่าได้ตำหนิว่าฉันขอมากไปหรือบังคับเข้มงวดเพราะถ้าฉันไม่ขอร้องเธออย่างนี้ก็หมายความว่าฉันหึงหวงและห่วงใยเธอเลยเธอ . . . ผู้จะมาเป็นคู่ชีวิตของฉันคู่ชีวิตที่หมายถึงผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขขอให้เธอเป็นแรกที่จะยินดีในความสำเร็จของฉันและเป็นแรกที่จะเสียใจในความล้มเหลวของฉันเป็นคนเดียวที่คอยยืนเคียงข้างฉัน ยามที่ฉันเผชิญกับปัญหา “นี่แหละ . . . คู่ชีวิต”ฉันพยายามเต็มที่ในการสร้างฐานของครอบครัว
ขอเพียงกำลังใจจากเธอขอเธออดทนในยามที่ฉันยากจนและขอเธอมัธยัสถ์ในยามที่ฉันมั่งมีแล้วเธอจะเป็นสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษก่อนที่ฉันจะเลืเธเป็นแต่งงานฉันไม่ได้มองแค่ให้เธอมาเป็นภรรยาแต่ฉันมองหา “ แม่ของลูก”เพราะเป้าหมายของฉัน ไม่ใช่แค่สร้างครอบครัวแต่ฉันมีความมุ่งหวังจะสร้างสังคมสร้างประชาชาติอันดียิ่งให้กับท่านนบีมูฮัมมัดดังนั้นสมาชิกของประชาชาติอิสลามต้องมาจากแหล่งกำเนิดที่ดีงามและเธอคือแหล่งกำเนิด ที่ฉันเลือกสรรแล้วฉันจึงฝากฝังให้เธอเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรหลานที่ดีช่วยฉันในการดูแลอบรมพวกเขาแน่นอนเธออาจจะต้องผูกพันธ์ ใกล้ชิดพวกเขามากกว่าฉันเธอจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด
ในภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ดังนั้นเธอจงช่วยฉันทำให้เข้าเป็นคนดีของพระองค์ไม่ตั้งภาคี . . . ดำรงการละหมาด . . . อดทน . . . ไม่เย่อหยิ่งแล้วเราจะได้รับรางวัลอันใหญ่ ณ พระองค์ในวันแห่งการตอบแทนเราไม่ได้แต่งงานกันเพื่ออยู่กันเพียงสองคนแต่เราแต่งงานกันเพื่อก่อให้เกิดความคำว่า เครือญาติเพื่อสร้างความเกี่ยวดองความเป็นพี่น้องและความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชาติดังนั้น เมื่อสองคนแต่งงานกันจะมีคนอีกอย่างน้อยสองตระกูลมาเกี่ยวพันกันนี่คือผลงานชิ้นแรกที่คู่แต่งงานได้ช่วยกันสร้างขึ้นสิ่งที่ทั้งสองต้องทำต่อไป ก็คือดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์นี้ด้วยการให้เกียรติเครือญาติของกันและกันเพราะเครือญาติ มีส่วนสำคัญมากมายในการจะทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองดำรงอยู่ต่อไปหรือ . . . ล่มสลายเพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตอะไรที่เธอปรารถนา มันคือสิ่งที่ฉันปรารถนาเช่นกันอะไรที่เธอรู้สึก มันคือความรู้สึกของฉันเราจะดูแลซึ่งกันและกันทั้งความรู้สึกของร่างกายและความปรารถนาของหัวใจสิ่งใดที่เธอสุขใจ ฉันจะขวนขวายทำมันเต็มที่สิ่งใดที่เธไมพอใจ ฉันจะหลบลี้หนีห่างขอเพียงเธอเอาใจใส่ความรู้สึกของฉันให้เกียรติฉัน ทั้งที่ลับและที่แจ้งให้เธอเป็นน้ำเย็น ยามที่ฉันเป็นไฟและฉันก็เช่นกันจะเป็นน้ำเย็น ยามที่เธอเป็นไฟสิ่งสุดท้ายที่ฉันวอนขอจากเธอก็คืออย่าพูดคำว่า “ ขอแยกทาง” ในยามที่เธอโกรธไม่ว่าเธอจะมีความไม่พอใจในตัวฉันเพียงใดหากว่าฉันไม่ทำผิดหลักการของอัลลอฮฺขออย่าได้ไปจากฉันเลยฉันอาจจะขอเธอมากไปแต่ขอให้รู้เถิดว่า นี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องก็ในเมื่อฉันรักในความดีงามของเธอฉันจึงไม่เรียกร้องเพราะ ความรักที่แท้จริง ต้องไม่มีข้อเรียกร้องใดๆถึงกระนั้นมันก็คือความรู้สึกของมุสลิมคนหนึ่งซึ่งปรารถนาจะสร้างครอบครัวอิสลามรอวันสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างใจจดใจจ่อเพื่อการเป็นสามีที่ดีให้แก่ผู้มาเป็นภรรยาเป็นพ่อที่ดีให้แก่ลูกๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการเพียรขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้การใช้ชีวิตคู่ระหว่างฉันกับเธอ . . .. . . เจ้าสาวของฉัน . . .. . . ให้เจ้าบ่าวของฉันเป็น . . .สามีที่ศรัทธาในอัลลอฮฺรักอัลลอฮฺยิ่ง เหนือสิ่งใดมากกว่าใคร ใคร ในโลกมากกว่า . . . แม้แต่ตัวฉันสามีทีมีท่านรอซู้ลเป็นแบบอย่างเป็นผู้ปฏิบัติตามซุนนะฮฺของท่าเป็นผู้เจริญรอยตามการทำงานของท่านและสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านสามีที่กระหายการญิฮาดในหนทางของพระองค์เพื่อที่เขาจะได้ทำให้ครอบครัวเรามีเกียรติ ณ อัลลอฮฺเพื่อที่เขาจะได้สอนลูกๆ ให้มีความกล้าหาญในหนทางแห่งพระองค์สามีที่มีอัลกุรอานเป็นครรลองในการดำเนินชีวิตเพื่อที่เขาจะได้ทำให้มันเป็นแนวทางในการครองชีวิตคู่ร่วมกับฉันเพราะฉันรู้ดีว่าอัลกุรอาน จะขัดเกลาให้เขาเป็น คนดีเป็น สามีที่มีคุณธรรมเป็น พ่อที่มีเมตตาธรรมเป็น หลักที่ในคงของครอบครัวอิสลามเสนอว่า สามีต้องเป็นผู้ให้ . . .ให้หลายสิ่งหลายอย่างแก่ภรรยาเริ่มตั้งแต่สิ่งแรกที่เขาให้ฉันในการเริ่มต้น “ มะฮัร ”เปล่าเลย . . . ฉันไม่ได้รู้สึกปลื้มปิติ หรือดีใจจนเนื้อเต้นในสิ่งที่เขานำมาให้เพราะฉันไม่ได้อยู่กับเขาเพื่อสิ่งนี้และเราไม่ได้อยู่ร่วมกันแค่สิ่งนี้สิ่งที่จะทำให้ฉันภูมิใจคือ “ ตัวเขา ”ตัวเขาที่จะมาเป็น “ ผู้ให้ ” กับฉันตามที่อิสลามได้สอนไม่ใช่เพียงมะฮัรฉันปรารถนาให้เขาให้ความรักให้ความเมตตาให้ความเอ็นดู สงสาร
ให้ความอบอุ่นให้ความมั่นใจให้ความยุติธรรมและ . . . ให้อภัยแก่ฉันเพราะเราต้องอยู่ด้วยกัน . . . ตลอดชีวิต (อินชาอัลลอฮฺ)อิสลามเสนอว่า สามี ต้องรับผิดชอบรับผิดชอบต่อภรรยา และ ลูกๆเขาคงจะต้องเหนื่อยมากในการหา “นะฟะเกาะฮฺ”
ให้กับครอบครัว แต่ . . . ไม่เป็นไร
ยามที่เขาอ่อนล้า . . . ฉันจะเป็นกำลังใจ
ยามที่เขาร้อนกลับมา . . . ฉันจะเป็นน้ำเย็นลูบไล้
ยามที่เขาเหงื่อโทรมกาย . . . ฉันจะเป็นผ้าซับเหงื่อให้
ขอเพียงเขามี “ อะมานะฮฺ” ต่อฉันและลูกๆ
ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรเกินความสามารถของเขา เพราะฉันไม่ได้แต่งงานกับเงินแต่ฉันแต่งงานกับ “ คนดี ”แล้ว “ ริสกี ” อัลลอฮฺจะประทานให้เองคนดี . . . ใช่ เป็นคำที่มีความหมายมายยาก . . . ที่หลายคนจะเป็นแต่ฉันขอเพียงเท่านี้ . . . เท่าที่อัลกุรอานได้บอกว่า“ ศรัทธาชนเอ๋ยจงปกป้องตนเองและครอบครัวให้พ้นจากไฟนรก ”ทำได้ไหม? . . . ปกป้องฉันและลูกๆ ให้พ้นจากไฟนรกฉันขอให้เขาเป็นแค่นี้เท่านั้นเองถ้าเขาทำได้ . . . ฉันจะเรียกเขาว่า “ คนดี ” อย่างสมภาคภูมิใจ
“ สามี ” คือผู้มีสิทธิในตัวภรรยาแต่ไม่ใช่ถืออำนาจบาตรใหญ่บังคับ ข่มขู่ฉันไม่ได้แต่งงานกับเขาเพื่อให้เขากดขี่แต่ฉันอยากให้เขาเป็นเพื่อน . . . พี่ . . . ครู
เป็นเพื่อน ที่คอยให้กำลังใจ ปลอบใจให้คลายเหงา
เป็นพี่ ที่คอยปกป้อง คุ้มครองผองภัย
เป็นครู ที่คอยให้คำสั่งสอนชี้แนะ
แล้วฉันก็จะคอยเป็น เพื่อนคู่คิด เป็นน้องสาว เป็นศิษย์ที่ดีให้กับเขา ด้วยความเต็มใจใช่บางครั้ง ฉันอาจจะดื้ออาจจะเอาชนะบางที ธรรมชาติในตัวฉันในธรรมให้ฉันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แต่อยากขอร้องให้เขาอดทน . . . ต่อฉันให้อภัย . . . แก่ฉันมองข้ามความผิดเล็กๆ น้อยๆ . . . ของฉัน. . . ดังที่ท่านรอซู้ลได้บอกว่าสามีต้องให้อภัยภรรยาวันละ ๗๐ ครั้งอยากให้เขาทำได้อย่างนั้นส่วนฉันจะไม่เอาเปรียบเขาหรอกฉันก็จะอดทน . . . ให้อภัย . . . มองข้ามความผิดเล็กน้อยของเขา
และจะเป็นภรรยาที่รู้จักให้อภัยในความผิดพลาดและรู้จักบุญคุณของสามีเหมือนที่ท่านรอซู้ลได้บอกเอาไว้เช่นกันฉันอาจจะขอเธอมากเกินไปแต่ขอให้รู้เถิดว่านี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเมื่อฉันรักในความดีของเขาฉันจึงไม่เรียกร้องเพราะความรักที่แท้จริงต้องไม่มีข้อเรียกร้องใดๆถึงกระนั้นมันก็คือ . . . ความปรารถนาของมุสลิมะฮฺคนหนึ่งซึ่งอยากจะให้สิ่งที่อาจเรียกว่า“ ครั้งเดียวในชีวิต ”ได้ประสบความสำเร็จ . . . ตลอดรอดฝั่งเพราะฉันไม่หวังอะไรในชีวิตคู่มากกว่าการมีสามีที่ดี . . . บุตรที่ดีและครอบครัวที่มีความสุขนี่เป็นสิ่งที่ฉันขอ เพียรขอต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของฉันกับเขา. . . เจ้าบ่าวของฉัน . . . บรรดากุลสตรีนั้น คือ
ผู้จงรักภักดีผู้รักษา (สิทธิของสามี)ขณะที่สามีไม่อยู่ตามที่พระองค์ทรงรักษาไว้(ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของนาง)(อัลกุรอาน ๔:๓๔ )
. . . แด่คู่บ่าวสาวทุกคน . . .
ก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่านี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องเพราะความรักที่แท้จริงต้องไม่มีข้อเรียกร้องใดๆนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจของคู่บ่าวสาวในวันนี้เท่านั้นแต่เป็นความในใจของหนุ่มสาวมุสลิมทุกคนนี่ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการครองชีวิตคู่เพราะอิสลามมีอะไรมากกว่านี้ยิ่งใหญ่ นำสมัย ครอบคลุมอิสลามถือว่า ครอบครัวที่ดี
คือจุดเริ่มต้นแห่งความดีทั้งมวล ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงเสียงหนึ่งของหนุ่มสาวที่ต้องการสร้างครอบครัวมุสลิมเป็นเพียงความปราถนาที่อยู่ในใจของคู่แต่งงานทั้งหลาย
เป็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำสอนที่อิสลามได้มอบให้แค่คู่บ่าวสาวทุกคน . . . . . . .... ที่ระลึก
แด่... มุสลีมีนและมุสลีมะห์ที่รัก.. เพื่อ ..อัลลอฮฺ

นิกอบหรือบิกีนี่


ใช่คนที่ปิดหน้า จะดีกว่าคนที่เปิดหน้าไม่ ใช่คนที่สวมนิกอบจะดีกว่าคนที่ไม่สวมไม่ และใช่คนที่ไม่สวมใส่คลุมผมจะเท่าเทียมกว่า คนที่สวมบิกีนี่ไม่ แต่หากคนที่มีอีหม่านตักวาศรัทธามากกว่าหรอกนะ ที่เค้าเหล่านั้น จะดีกว่าและประเสริฐกว่า
พี่น้องที่ศรัทธาเอ๋ยจากวิถีการดำเนินชีวิตของสังคมตะวันตกที่ได้ทะลักเข้าสู่สังคมบ้านเราใน ปัจจุบัน จึงส่งผลกระทบต่อจริยธรรมและศีลธรรมอันมีอยู่ในตัวบุคคลหลายๆคนในสังคมเรา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องวิถีชีวิต มุมมองและความคิดต่างๆก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน สิ่งที่กล่าวมานี้ย่อมหนีไม่พ้นที่จะมีผลกระทบต่อสังคมมุสลิมเราด้วย
บางครั้ง เราเองมักจะตั้งคำถามหรือได้ตั้งมาตรฐานของความคิด มุมมองและการแสดงออกถึงความเป็นมุสลิมต่อพี่น้องเราในบางเรื่อง บางเหตุการณ์ในทางลบ แต่ในทางกลับกันการแสดงออกถึงความญาฮีลียะห์ ของคนในบ้านเราเมืองเราในทุกวันนี้ เรากลับแสดงออกถึงความรัก ชื่นชม และเยินยอ แล้วนำมาซึ่งการเลียนแบบ และติชมกันมากมาย ว่านั่นคือสิ่งที่สวยงาม ว่านั่นคือสิ่งที่ดีควรที่จะเป็นแบบอย่างหรือเลียนแบบ อันเนื่องจากมันเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นสมัยใหม่นั่นเอง ท้ายที่สุดแล้วมุสลิมเราก็ไม่น้อยหน้า เพราะมุสลิมจะล้าสมัยไม่ได้ ก็เอากับเค้าด้วย แต่ในความเป็นจริงการแต่งกายของพวกเค้าเหล่านั้นมันคงไม่ต่างอะไรมากนัก หากเราจะเรียกมันว่า นั่นก็คือ ชุดบิกีนี่ตัวหนึ่งนั่นเอง!!!!
น่าแปลกไหม ว่าวันนี้ !!! ทำไม ทำไมต้องสวมนิกอบด้วย ทำไมต้องปิดหน้าด้วย ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ ก็ในเมื่อเปิดหน้ามันไม่ผิดนะ แล้วจะปิดให้ร้อนกันทำไม เวลาพูดคุยก็ลำบากนะ ไม่เห็นปากขยุบขยิบ ลำบากนะ ลำบาก และอีกสารพัด คำถามและข้อสงสัยกับเพียงแค่คำว่า “นิกอบ”หรือ “ปิดหน้า”แปลกใจไหม ว่าทำไม ทำไมและทำไม กับแค่คำไม่กี่คำจึงถูกตั้งด้วยกับพี่น้องเราเสียเองครับ หรือเพราะเราอ่อนแอ หรือเพราะเราอ่อนความรู้ หรือเพราะเราขาดซึ่งการเรียนรู้และตระหนักของ นิยาม กับคำเหล่านี้ครับ แต่ไม่ ไม่ครับหรือเพราะมุสลิมเราถูกสังคมตะวันตกกลืนเข้าไปแล้วครับ .....พี่น้อง
พี่น้องครับ เมื่อคนสวมนิกอบหรือคลุมหน้า กลับถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่สุดโต่งหรือคนเคร่ง และเมื่อการสวมคลุมผมนั้น กลับถูกมองว่าไม่เรียบร้อยและเป็นการลดเกียรติ แล้วอย่างนี้เราในฐานะที่เป็นผู้ศรัทธา เรามีทัศนะคติกับเรื่องข้างต้นนี้อย่างไร หรือก็จริงตามที่เขาว่า หรือก็ถูกตามที่เขามอง แล้วอย่างไรเล่าคือมาตรฐานที่อิสลามให้เรามองครับ
ทำไมหนอ!!!การแต่งกายที่เผยซึ่งสัดส่วนอันเพียงนิดเพียงน้อย จนแทบจะเปรียบกับชุดบิกีนี่ตัวหนึ่งของหญิงสาวเราในสังคมดารา นักร้อง นักแสดง หรือแม้กระทั้ง ในสังคมหญิงสาวมุสลิมเรา เรากลับนิ่งเฉย ดูดาย ชื่นชม และเป็นที่รักของเรา ทั้งกับการเสียสละเวลาเพื่อการนั่งชม หรือการสนับสนุนเห็นด้วย ถึงขนาดนั้นครับ แต่เมื่อเราได้รับรู้ถึงมุสลีมะห์เราบางคนที่หันมาตระหนักถึงฟิตนะฮ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับตน จนพัฒนาการมาถึงการคลุมหน้า สวมนิกอบ เราแทบจะรับไม่ได้และมองถึงกลุ่มคนเหล่านี้กันอย่างผิดๆถูกๆ หรืออย่างมีใจเป็นอคติกันหล่ะครับ
เรามิได้บอกว่า คนปิดหน้าจะดีกว่าคนเปิดหน้าครับ และเราไม่ได้บอกว่าคนที่สวมนิกอบนั้นจะประเสริฐกว่าคนที่เปิดหน้าในส่วนของ มุมมองในทางสังคม ดั่งที่ใครๆมักจะมองถึงการกระทำของผู้ที่ปิดหน้าในบางเรื่อง บางประการ ซึ่งเป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัวที่แสดงออกมาไปในทำนองที่ทำให้พี่น้องเรา เข้าใจว่า สังคมระหว่างพี่น้องที่ปิดหน้ากับไม่ปิดหน้า ย่อมมีมาตรฐานที่แตกต่างกันไปแล้วหรือ หรือเรียกง่ายๆว่า มีสองมาตรฐานนั่นเอง สิ่งดังกล่าวนี้ ย่อมไม่ใช่เป้าหมายของผู้ที่ปิดหน้าของเราส่วนใหญ่เป็นแน่ ที่เค้าแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้นครับ..พี่น้อง แต่เราเพียงจะบอกพี่น้องว่า คนที่สวมคลุมผมหรือปิดหน้าจะเท่าเทียมกว่าคนที่ไม่สวมคลุมผมหรือ!!และเรา เพียงอยากบอกพี่น้องว่า ทำไมเราไม่เรียกร้องให้มีการปกป้องเกียรติของความเป็นมุสลิมะห์กันมากกว่า นี้กันเล่า!!!
มาซิครับ เรามาปรับซึ่งมุมมอง เรามาร่วม เรามาแสดงออกถึงจุดยืน จุดต่าง และจุดร่วมในความเห็น ความมีเกียรติกับสิ่งเหล่านี้กันดีกว่าไหม เรามาพัฒนาการถึงการแต่งตัวของเราในทุกวันนี้กันดีกว่าไหม
จากที่ฉันเพียงแค่คลุมผม แต่ยังใส่เสื้อฟิตๆ เรามาใส่เสื้อหลวมๆกันไหม
จากที่ฉันเพียงแค่คลุมผม แต่ยังเปิดเอาเราะห์ในส่วนเท้า เรามาใส่ถุงเท้ากันไหม
จากที่ฉันเพียงแค่คลุมผม แต่ยังเปิดเอาเราะห์ในส่วนแขน เรามาใส่ปลอกแขนกันดีกว่าไหม
จากที่ฉัน เพียงแค่ใส่คลุมหน้าแต่ยังเผยซี่งเอาเราะห์ในส่วนแขน เรามาใส่ปลอกแขนกันดีกว่าไหมและจากที่ฉันเพียงแค่คลุมหน้าและสวมนิกอบกัน เรามาคลุมทั้งกายและใจกันดีกว่าไหม เรามาศัลยกรรมอีหม่านและการวางตัวกันดี กว่าไหมครับ
ใช่!!!!เรามักจะอ้างว่า เรายังไม่พร้อมหรอกที่เราจะปิดหน้า เรายังไม่พร้อมหรอกที่จะสวมใส่ปิดกั้นถึงขนาดนั้น แต่เราจะอ้างกันอีกนานเท่าไหร่กันครับ ว่าเรายังไม่พร้อมที่จะคลุมผมกัน เรายังไม่พร้อมหรอกที่จะสวมใส่แบบหลวมๆๆและไม่เปิดเผยซึ่งสัดส่วนกัน เมื่อไหร่จะพร้อม เมื่อไหร่จะเปลี่ยนกัน จะรออะไรกันอีกเล่า หรืออุปสรรคบางประการของเรามันคือสิ่งสำคัญที่เราไม่คิดและจะทบทวนว่า สิ่งที่เราสวมอยู่กันในวันนี้ คือสิ่งที่อัลลอฮ(ซ.บ)ทรงกริ้วโกรธเพราะเราฝ่าฝืนคำสั่งใช้พระองค์อยู่ครับ
น่าเห็นใจนะหากเค้าเหล่านั้น ต้องเจอะเจออุปสรรคสารพัด หากการที่เค้าจะคิดยืนหยัดและเปลี่ยนแปลง แต่หากเค้าเหล่านั้นมองข้ามอุปสรรคบางอย่างนั้นไป เค้าเหล่านั้นจะทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว อุปสรรคที่เกิดขึ้น มันคือสิ่งทดสอบถึงการที่เค้าจะคิดยืนหยัดในหลักการของอัลลอฮ(ซ.บ)ต่างหาก หล่ะ
เอาหล่ะ ท่านจะสวมนิกอบ หรือท่านจะสวมบิกีนี่ ก็จงเลือกดูนะ แต่ท่านจงรับรู้ไว้เถิดว่า การสวมของท่าน คืออีหม่านของท่าน และอีหม่านของท่านคือความตักวาของท่าน และความตักวานี้หล่ะนะคือสิ่งที่ติดตัวท่านไปยังพระองค์อัลลอฮ(ซ.บ)ครับ... อินชาอัลลอฮ
และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอและอย่าได้โอ้อวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่น การอวดความงาม (ของพวกสตรี) แห่งสมัยงมงายในยุคก่อน และจงดำรงการละหมาดและจ่ายซะกาต และจงภักดีต่ออัลลอฮฺและร่อซูลของพระองค์...[อัลอะหฺซาบ :33]
والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته